คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5048/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษปรับสำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ เป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว มิใช่ให้ปรับสำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ แล้วแบ่งปรับเป็นรายบุคคลละเท่า ๆ กัน เมื่อจำเลยถูกฟ้องเพียงผู้เดียว จำเลยจึงเป็นบุคคลเดียวที่กระทำความผิดและต้องถูกลงโทษตามคำพิพากษา บุคคลอื่นที่ร่วมกระทำความผิดเมื่อยังไม่ถูกฟ้องย่อมไม่อาจถือเป็นผู้กระทำความผิดอันจะถูกลงโทษตามคำพิพากษาคดีนี้ได้ กรณีไม่อาจแบ่งแยกลดจำนวนความรับผิดสำหรับโทษปรับในความผิดครั้งนี้แก่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2542 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยกับพวกอีกหนึ่งคนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันซื้อและรับไว้ซึ่งองุ่นสดจำนวน 244 กิโลกรัม ราคา36,600 บาท ลูกพรุนสด จำนวน 30 กิโลกรัม ราคา 1,800 บาท ลูกไนส์สด จำนวน80 กิโลกรัม ราคา 4,800 บาท เกาลัดสด จำนวน 80 กิโลกรัม ราคา 6,400 บาทลูกแพร์สด จำนวน 12 กิโลกรัม ราคา 720 บาท ส้มสด จำนวน 214 กิโลกรัม ราคา9,630 บาท สาลี่สด จำนวน 160 กิโลกรัม ราคา 11,200 บาท รวมราคาของทั้งสิ้น71,150 บาท โดยจำเลยกับพวกรู้อยู่แล้วว่า ของดังกล่าวเป็นของที่ผู้อื่นนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรที่จะต้องเสียสำหรับของเหล่านั้น จำนวน 45,992 บาทซึ่งรวมราคาของและอากรเข้าด้วยแล้วเป็นเงินจำนวน 117,142 บาท ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 4, 5, 6, 7, 8, 9 ขอให้ริบของกลางและจ่ายเงินรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับตามกฎหมายด้วย

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469มาตรา 27 ทวิ พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. 2489มาตรา 4, 5, 6, 7, 8, 9 ปรับ 468,568 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เห็นสมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงปรับ 234,284 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ของกลางริบ จ่ายสินบนรางวัลตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จ่ายรางวัลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งจับกุมผู้ทำผิดร้อยละยี่สิบของราคาของกลางโดยให้จ่ายจากเงินที่ได้จากการขายของกลางซึ่งศาลชั้นต้นริบเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว หากของกลางที่ศาลชั้นต้นริบนั้นไม่อาจขายได้ให้จ่ายจากเงินค่าปรับที่ได้ชำระต่อศาล ตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 7 และมาตรา 8 วรรคสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยถูกฟ้องว่ากระทำความผิดร่วมกับพวกอีกหนึ่งคนที่หลบหนี ซึ่งคนที่หลบหนีทางเจ้าพนักงานตำรวจยังสามารถตามจับกุมได้ภายในกำหนดอายุความ จำเลยจึงควรจะต้องรับผิดเพียงกึ่งหนึ่งของค่าปรับทั้งหมดตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ความผิดตามฟ้องคดีนี้กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษปรับสำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ เป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว มิใช่ให้ปรับสำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ แล้วแบ่งปรับเป็นรายบุคคลคนละเท่า ๆ กัน เมื่อจำเลยถูกฟ้องคดีนี้เพียงผู้เดียว จำเลยจึงเป็นบุคคลเดียวที่กระทำความผิดและต้องถูกลงโทษตามคำพิพากษาในคดีนี้ บุคคลอื่นที่ร่วมกระทำความผิดเมื่อยังไม่ถูกฟ้องย่อมไม่อาจถือเป็นผู้กระทำความผิดอันจะถูกลงโทษตามคำพิพากษาคดีนี้ได้ กรณีไม่อาจแบ่งแยกลดจำนวนความรับผิดสำหรับโทษปรับในความผิดครั้งนี้แก่จำเลย ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share