คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5042/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พนักงานอัยการโจทก์และผู้เสียหายโจทก์ร่วมเคยฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นพิพากษา ยกฟ้องคดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาโจทก์ร่วมพบสินค้าของจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าเดียวกันนั้นอีกจึงดำเนินการให้โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้โดยอาศัยพยานหลักฐานใหม่และเพิ่มข้อหาอื่นอีกแต่ไม่ได้ความแน่ชัดว่าจำเลยได้ร่วมกันกระทำการเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ร่วมขึ้นใหม่ดังนี้ เป็นการนำการกระทำของจำเลยที่มีคำพิพากษา เสร็จเด็ดขาดแล้วมาฟ้องใหม่นั่นเองสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์และโจทก์ร่วมจึงระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
โจทก์ร่วมจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตราควายพระอาทิตย์ย่อมมีสิทธิใช้หรือให้ผู้อื่นใช้เครื่องหมายการค้าที่ตนจดทะเบียนได้โดยชอบ การที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 นำเครื่องหมายการค้าที่โจทก์ร่วมมีสิทธิใช้ได้ตามกฎหมายมาใช้กับสินค้าของจำเลยที่4 โดยโจทก์ร่วมยินยอมจึงไม่เป็นความผิดฐานเลียนเครื่องหมายการค้า

ย่อยาว

สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า นายอนันต์เดช เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เครื่องหมายการค้าตราควายพระอาทิตย์ซึ่งจดทะเบียนไว้แล้วสำหรับใช้กับสินค้าจำพวกผ้าฝ้าย จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเลียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวแล้วนำไปใช้กับสินค้าผ้าฝ้ายของจำเลยเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าของผู้เสียหายและจำเลยได้ร่วมกันจำหน่ายสินค้าดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 272, 274, 275

สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เครื่องหมายการค้าตราควายโดยได้จดทะเบียนไว้แล้ว และเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าตราควายพระอาทิตย์ด้วย จำเลยทั้งสี่ร่วมกันทำเครื่องหมายตราควายพระอาทิตย์โดยเจตนาเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์และนำไปใช้กับผ้าฝ้ายของจำเลยออกจำหน่ายแก่ประชาชนเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าของโจทก์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 272, 274, 275

นายอนันต์เดชยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีแรก ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต

จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณาโดยกำหนดให้เรียกพนักงานอัยการว่าโจทก์นายอนันต์เดช เป็นโจทก์ร่วม ส่วนห้างหุ้นส่วนจำกัดลิ้มเซ้งยู่เชียง นายพิชัย นายเทวาและห้างหุ้นส่วนจำกัดเฮ่งจิบฮั่วเชียง เป็นจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ตามลำดับ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 272, 274, 275 รวม 3 กระทง

โจทก์ร่วมและจำเลยที่ 1, ที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 และที่ 4 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ร่วม และจำเลยที่ 1, ที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เป้นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 10051/2518 ของศาลแขวงพระนครใต้หรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ยุติว่าในคดีดังกล่าวโจทก์และโจทก์ร่วมได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในคดีนี้ว่าร่วมกันทำเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์ร่วมซึ่งได้จดทะเบียนไว้กับกรมทะเบียนการค้าเป็นรูปควายกับพระอาทิตย์ และมีข้อความภาษาไทยด้านบนว่า เฮงจิบฮั่วเชียง ส่วนด้านล่างมีข้อความภาษาไทยว่า ตราควายพระอาทิตย์ สำหรับสินค้าจำพวก 24จำเลยร่วมกันทำเครื่องหมายการค้าเป็นรูปควายกับพระอาทิตย์ และข้อความด้านบนพระอาทิตย์ว่า ควายพระอาทิตย์แท้ ประทับลงบนสินค้าผ้าดำออกจำหน่ายศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้เลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์ร่วมและต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยนำสืบว่าได้กระทำมานานและจำเลยใช้เครื่องหมายการค้ามาก่อนโจทก์ พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด ต่อมาโจทก์ร่วมได้เดินทางไปภาคเหนือได้พบผ้าดำของจำเลยที่ 1 ปิดเครื่องหมายการค้าอย่างเดียวกับเครื่องหมายการค้าที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ใช้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 10051/2518 โจทก์ร่วมจึงร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการและโจทก์ร่วมจึงฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นคดีนี้ซึ่งฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2ร่วมกันทำเครื่องหมายการค้ารูปดวงอาทิตย์ฉายรัศมีและมีควายยืนอยู่กับมีข้อความว่าตราควายพระอาทิตย์โดยเจตนาเลียนเครื่องหมายการค้าตราควายพระอาทิตย์ของโจทก์ซึ่งจดทะเบียนไว้สำหรับสินค้าจำพวก 24 และโจทก์ร่วมเบิกความว่า เครื่องหมายการค้าที่กล่าวหาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันทำเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ในคดีนี้เป็นเครื่องหมายการค้าเดียวกันกับเครื่องหมายการค้าที่โจทก์กล่าวหา จำเลยทำเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 10051/2518 และการที่โจทก์กล่าวหาจำเลยทั้งสองกระทำผิดคดีนี้ก็โดยได้สินค้าของจำเลยที่ 1 มาใหม่ แต่ก็ไม่ได้ความแน่ชัดว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำขึ้นใหม่ หากแต่เป็นการกระทำที่จำเลยทั้งสองได้ทำเครื่องหมายการค้ารูปดวงอาทิตย์ฉายรัศมี และมีควายยืนอยู่กับมีข้อความว่า ตราควายพระอาทิตย์ แล้วนำไปใช้ปิดที่สินค้าของจำเลยออกจำหน่ายในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 10051/2518 ซึ่งถึงที่สุดแล้วมาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ใหม่โดยอาศัยพยานหลักฐานใหม่ และเพิ่มข้อหาขึ้นอีก ก็เป็นการนำการกระทำของจำเลยทั้งสองที่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้วมาฟ้องใหม่นั่นเอง สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์และโจทก์ร่วมจึงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ข้อนี้ฟังขึ้น

ปัญหาว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 กระทำผิดตามที่จำเลยที่ 1 ฟ้องในสำนวนคดีหลังหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฟ้องของจำเลยที่ 1 ได้บรรยายว่า โจทก์ร่วมในคดีแรก (จำเลยที่ 1 ในคดีหลัง) เป็นหุ้นส่วนในห้างจำเลยที่ 4 ร่วมกัน กับจำเลยที่ 3 ที่ 4 ทำเครื่องหมายการค้าเลียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เครื่องหมายการค้าที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 ใช้เป็นเครื่องหมายการค้าที่โจทก์ร่วมทำขึ้นให้จำเลยที่ 4 นำมาใช้เป็นเครื่องหมายการค้าติดและปิดไว้ที่ผ้าดำในฐานะที่โจทก์ร่วมเป็นหุ้นส่วนในห้างจำเลยที่ 4 โจทก์ร่วมได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตราควายพระอาทิตย์ไว้ตามเอกสารหมาย จ.1, จ.2 โจทก์ร่วมจึงมีสิทธิที่จะใช้เครื่องหมายการค้าที่โจทก์ร่วมจดทะเบียนไว้แล้วโดยชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 การที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 นำเครื่องหมายการค้าที่โจทก์ร่วมมีสิทธิใช้ได้ตามกฎหมายใช้กับสินค้าของจำเลยที่ 4 โดยโจทก์ร่วมยินยอมให้ใช้จำเลยที่ 3 ที่ 4 จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง

พิพากษาแก้เป็นว่า ยกฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมในสำนวนคดีแรก นอกจากที่แก้ให้เป็นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share