แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่าคำร้องของผู้ร้องไม่มีมูลพอที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่นั้นถึงที่สุดแล้วตาม พ.ร.บ. การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526มาตรา 10 ซึ่งบัญญัติว่า “เมื่อศาลอุทธรณ์ได้รับสำนวนการไต่สวนและความเห็นแล้ว ถ้า ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำร้องนั้นมีมูลพอที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ ให้ศาลอุทธรณ์สั่งรับคำร้องและสั่งให้ศาลชั้นต้นที่รับคำร้องดำเนินการพิจารณาคดีที่รื้อฟื้นขึ้นพิจารณาใหม่ต่อไป แต่ถ้า ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำร้องนั้นไม่มีมูลให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องนั้น…คำสั่งศาลอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่งให้เป็นที่สุด” ดังนั้นคดีของผู้ร้องจึงต้องห้ามฎีกา.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากนายวิว วันทนะ ผู้ร้อง ซึ่งเป็นจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 1348/2531 หมายเลขแดงที่ 1141/2531 ของศาลชั้นต้นต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุก 1 เดือน ปรับ1,000 บาท โดยให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 1 ปี ในข้อหากระทำความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวได้ยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาดังกล่าวขึ้นพิจารณาใหม่อ้างว่าความจริงผู้ร้องมีใบอนุญาตพกปืนติดตัว แต่เจ้าพนักงานตำรวจผูัจับกุมผู้ร้องแจ้งว่ากรมตำรวจมีคำสั่งให้ยกเลิกใบอนุญาตพกปืนนั้นแล้วและยึดใบอนุญาตพกปืนนั้นไปหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษผู้ร้องแล้ว เจ้าพนักงานตำรวจส่งใบอนุญาตพกปืนคืนให้ผู้ร้อง ผู้ร้องนำใบอนุญาตนั้นไปสอบถามผู้รู็ได้รับตอบว่ากรมตำรวจไม่เคยออกคำสั่งยกเลิกใบอนุญาตพกปืนของผู้ร้อง จึงขอให้ศาลรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ และพิพากษาว่าผู้ร้องมิได้กระทำความผิดกับคืนเงินค่าปรับ 1,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันชำระค่าปรับจนถึงวันที่คืนเงินเสร็จด้วย
ศาลชั้นต้นส่งสำนวนการไต่สวนพร้อมทั้งทำความเห็นไปยังศาลอุทธรณ์ว่าตามคำร้องคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องทำการไต่สวนจึงให้ง>ดการไต่สวนคำร้องและมีความเห็นว่า คดีเดิมโจทก์ฟ้องว่าผู้ร้องพาอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนฯ ติดตัวไปในหมู่บ้าน ในเมืองและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ฯลฯ ผู้ร้องให้การรับสารภาพศาลพิพากษาลงโทษผู้ร้องโดยเชื่อตามคำรับสารภาพของผู้ร้อง หาใช้เพราะศาลรับฟังพยานโจทก์ผิดหลงไปแต่อย่างไรไม่ แม้ขณะกระทำความผิด จำเลยจะมีใบอนุญาตตามคำร้อง แต่ก็มิใช่พยานหลักฐานใหม่และสำคัญแก่คีดเพราะศาลฟังว่าจำเลยกระทำความผิดตามคำรับสารภาพของผู้ร้อง กรณีไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526มาตรา 5 ไม่มีเหตุอันควรที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าคำร้องของผู้ร้องไม่มีมูลพอที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ มีคำสั่งให้ยกคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่าคำร้องของผู้ร้องไม่มีมูลพอที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่นั้นถึงที่สุดแล้วตามพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่พ.ศ.2526 มาตรา 10 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า
“เมื่อศาลอุทธรณ์ได้รับสำนวนการไต่สวนและความเห็นแล้ว ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำร้องนั้นมีมูลพอที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ ให้ศาลอุทธรณ์สั่งรับคำร้องและสั่งให้ศาลชั้นต้นที่รับคำร้องดำเนินการพิจารณาคดีที่รื้อฟื้นขึ้นพิจารณาใหม่ต่อไป แต่ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำร้องนั้นไม่มีมูล ให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องนั้น
คำสั่งของศาลอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่งให้เป็นที่สุด” ดังนั้นคดีของผู้ร้องจึงต้องห้ามฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของผู้ร้องโดยไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายกฎีกาผู้ร้อง.