คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5022/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การสมยอมกันดำเนินคดีโดยไม่สุจริตเพื่อให้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้อง ไม่มีผลให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 175, 177, 181
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ และให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา คู่ความแถลงร่วมกันว่า เดิมจำเลยยื่นฟ้องโจทก์และนายรังสรรค์ เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1029/2549 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 461/2550 ของศาลแขวงพระนครใต้ ฐานร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม (หนังสือมอบอำนาจให้จดทะเบียนจำนอง) ศาลแขวงพระนครใต้ พิพากษายกฟ้อง ต่อมาจำเลยยื่นฟ้องโจทก์และนายรังสรรค์ เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 7516/2552 หมายเลขแดงที่ 1026/2553 ของศาลแขวงสมุทรปราการ ฐานร่วมกันแจ้งความเท็จและแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการว่า โจทก์ใช้ให้นายรังสรรค์แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี และโจทก์มอบอำนาจให้นายรังสรรค์นำที่ดินของจำเลยจำนองต่อโจทก์เพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงิน ศาลแขวงสมุทรปราการพิพากษายกฟ้อง หลังจากโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ นายรังสรรค์ได้ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2040/2553 หมายเลขแดงที่ 4196/2553 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ ว่า จำเลยฟ้องเท็จในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1026/2553 ของศาลแขวงสมุทรปราการ อันเป็นการกระทำกรรมเดียวกับที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ซึ่งศาลแขวงสมุทรปราการพิพากษายกฟ้อง คดีเป็นอันถึงที่สุดตามสำเนาคำฟ้องและสำเนาคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วมีคำพิพากษาใหม่ต่อไปตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้เป็นที่ยุติตามสำเนาคำฟ้องและสำเนาคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4196/2553 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ว่านายรังสรรค์ ได้ยื่นฟ้องจำเลยฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1029/2549 ของศาลแขวงพระนครใต้ สืบเนื่องมาจากจำเลยกล่าวหาว่าโจทก์และนายรังสรรค์ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอมคดีหนึ่ง กับฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 7516/2552 ของศาลแขวงสมุทรปราการ สืบเนื่องมาจากจำเลยกล่าวหาว่าโจทก์และนายรังสรรค์ร่วมกันแจ้งความเท็จและแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนและเอกสารราชการอีกคดีหนึ่งโดยนายรังสรรค์ได้อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความชั้นไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4196/2553 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ ตามเอกสารท้ายคำให้การจำเลยอันดับ 45/46 และ 45/73 ในสำนวนคดีนี้ และในชั้นพิจารณานายรังสรรค์และจำเลยขอให้ถือเอาคำเบิกความของนายรังสรรค์ชั้นไต่สวนมูลฟ้องดังกล่าวเป็นคำเบิกความในชั้นพิจารณาโดยไม่สืบพยาน ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อแรกตามฎีกาของจำเลยว่า การนำสืบพยานหลักฐานในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4196/2553 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ เป็นการสมยอมกันดำเนินคดีเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องคดีเสร็จเด็ดขาด เป็นผลให้สิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องร้องดำเนินคดีแก่จำเลยเป็นอันระงับไปเพื่อประโยชน์แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า การกระทำอันเป็นปฐมเหตุให้เกิดข้อพิพาทระหว่างโจทก์ นายรังสรรค์และจำเลยเกิดขึ้นเนื่องจากมีการนำหนังสือมอบอำนาจและเอกสารประกอบการจดทะเบียนที่ดินของจำเลยไปจดทะเบียนจำนองต่อโจทก์ โดยระบุให้นายรังสรรค์เป็นตัวแทนทั้งของจำเลยผู้จำนองและโจทก์ผู้รับจำนอง ข้อสำคัญในการวินิจฉัยพยานหลักฐานในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4196/2553 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ จึงมีว่าจำเลยมอบอำนาจให้นายรังสรรค์จดทะเบียนจำนองประกันหนี้ที่จำเลยมีต่อโจทก์หรือไม่ แม้นายรังสรรค์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องกล่าวถึงความเกี่ยวพันระหว่างโจทก์ จำเลยและนายรังสรรค์ว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์โดยทั้งสองฝ่ายได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้นายรังสรรค์เป็นตัวแทนจดทะเบียนจำนองที่ดินเพื่อเป็นหลักประกันหนี้กู้ยืมเงิน 94,000,000 บาท แต่จากการตอบคำถามค้านนายรังสรรค์เบิกความว่า มีการโอนหนี้ที่จำเลยมีต่อโจทก์ไปยังบริษัทเอส เค ฟาร์ม จำกัด ของจำเลยบางส่วน คงเหลือหนี้ที่จำเลยค้างชำระโจทก์ 50,000,000 บาท ซึ่งจำเลยได้ให้บริษัทกัญญา การ์เด้น จำกัด รับผิดชอบจำนองที่ดินเพื่อประกันหนี้ดังกล่าวแทนจำเลย โดยทนายจำเลยอ้างส่งสัญญาจำนองที่ดินทั้งสองฉบับประกอบการถามค้าน ดังนี้ นอกจากเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลต้องวินิจฉัยถึงความผูกพันในมูลหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยอันเป็นข้อสำคัญในคดีเนื่องจากเคยมีข้อโต้แย้งว่ามีการปลอมหนังสือมอบอำนาจของจำเลยซึ่งนายรังสรรค์ควรต้องนำสืบให้สิ้นกระแสความตามข้ออ้างแล้ว นายรังสรรค์กลับเบิกความตอบคำถามค้านด้วยว่า จำเลยไม่เป็นหนี้โจทก์เพราะเหตุมีการโอนหนี้ให้บริษัททั้งสองเข้าเป็นลูกหนี้แทนจำเลย รวมทั้งยังเบิกความว่า ยังมีการจำนองที่นายรังสรรค์กับโจทก์ร่วมกันนำหนังสือมอบอำนาจของจำเลยไปกรอกข้อความเพื่อจดทะเบียนจำนองที่ดินของจำเลยต่อโจทก์อีก 2 แปลง เป็นเงิน 70,000,000 บาท โดยโจทก์ไม่ได้มอบเงินให้แก่จำเลย อันเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จนมีการมอบอำนาจให้จดทะเบียนจำนองที่ดินต่อโจทก์โดยความยินยอมของจำเลย หรือเป็นกรณีที่นายรังสรรค์กับโจทก์ร่วมกันกรอกข้อความในหนังสือมอบอำนาจโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยการที่นายรังสรรค์อ้างตนเป็นพยานเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเพียงปากเดียวแม้ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าคดีที่นายรังสรรค์ฟ้องจำเลยมีมูลให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา แต่ในชั้นพิจารณาแทนที่นายรังสรรค์จะสืบพยานเพื่อให้ปัญหาข้อเท็จจริงอันเป็นข้อสำคัญในคดีดังกล่าวได้รับการยืนยันสนับสนุนโดยพยานหลักฐานอื่น รวมทั้งอ้างโจทก์ซึ่งเป็นตัวการที่ทำสัญญาจำนองกับจำเลยเป็นพยานเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงให้ได้ความตามข้ออ้างแต่กลับแถลงไม่สืบพยานโดยขอถือเอาคำเบิกความชั้นไต่สวนมูลฟ้องเป็นพยานหลักฐานโจทก์ในชั้นพิจารณา และลักษณะคดีก็ไม่อาจรับฟังเป็นยุติได้เพียงพยานเอกสารดังที่จำเลยยกขึ้นฎีกาและจากพฤติการณ์ที่นายรังสรรค์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลอาญากรุงเทพใต้เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2553 หลังจากโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2553 อันเป็นการกระทำกรรมเดียวซึ่งโจทก์และนายรังสรรค์ต่างเป็นผู้เสียหายมีการกระทำความผิดเกิดขึ้นจริงและนายรังสรรค์กับจำเลยยังแถลงไม่สืบพยานจนเป็นผลให้คดีเสร็จการพิจารณาไปในวันเดียวกันเชื่อได้ว่านายรังสรรค์และจำเลยสมยอมกันดำเนินคดีโดยไม่สุจริตเพื่อให้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้อง จึงไม่มีผลให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share