แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลย จำเลยให้การว่านายประสิทธิ์สามีจำเลยเคยกู้เงินโจทก์ นายประสิทธิ์ถึงแก่กรรม โจทก์มายึดรถยนต์ของจำเลยไปและให้จำเลยออกเงินค่าซ่อมรถยนต์อีก 10,000 บาท เพื่อนำมาชำระหนี้ให้โจทก์ แต่โจทก์ไม่ซ่อมรถ จำเลยจึงตีราคารถยนต์เป็นเงิน 60,000 บาท หักที่เอาไปแล้ว 10,000 บาท เหลือค่ารถยนต์อีก 50,000 บาท จึงฟ้องแย้งเรียกเงินจำนวนดังกล่าวคืน จำเลยไม่ได้รับว่าจำเลยกู้เงินโจทก์แม้จำเลยจะกล่าวถึงหนี้เงินกู้ด้วย ก็เป็นเรื่องที่จำเลยกล่าวอ้างขึ้นมาใหม่ไม่เกี่ยวกับสัญญากู้เดิมจึงรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณาในคดีนี้ไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ไปจำนวน 28,000 บาท กำหนดชำระต้นเงินภายในเดือนเมษายน 2519 และชำระดอกเบี้ยเดือนละ 840 บาท จำเลยได้ชำระต้นเงินจำนวน 8,000 บาท และดอกเบี้ยถึงวันที่ 4 ตุลาคม 2518 แล้วผิดนัดไม่ชำระอีก ขอให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำนวน 32,333 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงินจำนวน 20,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า นายประสิทธิ์สามีจำเลยเคยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์เมื่อปี พ.ศ. 2518 จำนวน 18,000 บาท โจทก์หักดอกเบี้ยไว้ 2 เดือน เป็นเงิน1,080 บาท นายประสิทธิ์ได้ชำระต้นเงินแล้ว 8,000 บาท และชำระดอกเบี้ยเดือนละ840 บาท จนนายประสิทธิ์ถึงแก่กรรม โจทก์ยึดรถยนต์จี๊บแรนโรเวอร์ของจำเลยราคา 60,000 บาท เพื่อหักหนี้ที่เหลือจะนำมาคืน และโจทก์ให้จำเลยออกเงินอีก10,000 บาท เพื่อนำรถยนต์ไปซ่อมจะขายได้ราคาดีขึ้น แต่โจทก์มิได้ซ่อมรถยนต์ดังกล่าว กลับนำเงินและรถยนต์ไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย จำเลยขอตีราคารถยนต์ 60,000 บาท การที่โจทก์ยึดรถยนต์ไว้เป็นการส่วนตัวเท่ากับโจทก์รับรถยนต์นั้นเป็นการชำระหนี้แก่โจทก์ด้วย แต่คงเป็นงินเพียง 10,000 บาท คงเหลือเงินอยู่ที่โจทก์อีก 50,000 บาท จึงฟ้องแย้งให้โจทก์คืนเงินหรือใช้เงินจำนวน 50,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์ชำระหรือใช้เงินคืนแก่จำเลยเสร็จ
ศาลชั้นต้นสั่งคำให้การจำเลยว่า รับเป็นคำให้การจำเลยส่วนฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จึงไม่รับฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ตามคำให้การของจำเลย จำเลยไม่ได้รับว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ตามสำเนาสัญญากู้ท้ายฟ้อง คำให้การของจำเลยที่ว่าโจทก์มายึดรถยนต์ของจำเลยไปและให้จำเลยออกเงินค่าซ่อมรถยนต์อีก 10,000 บาท เพื่อนำรถยนต์มาขายชำระหนี้ให้โจทก์ แต่โจทก์ไม่ซ่อม จำเลยจึงตีราคารถยนต์เป็นเงิน60,000 บาท หักที่เอาไปแล้ว 10,000 บาท เหลือค่ารถยนต์อีก 50,000 บาท จึงฟ้องแย้งเรียกเงินจำนวนนี้นั้น แม้จำเลยจะกล่าวถึงหนี้เงินกู้ด้วย ก็เป็นเรื่องที่จำเลยกล่าวอ้างขึ้นมาใหม่ ไม่เกี่ยวกับสัญญากู้เดิม จึงรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณาในคดีนี้ไม่ได้ จำเลยชอบที่จะว่ากล่าวเป็นคดีหนึ่งต่างหาก
พิพากษายืน