แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
กรมสรรพากรจำเลยที่ 5 ฎีกาและยื่นคำร้องว่า กำลังดำเนินการโอนเงินมาเพื่อวางศาลเป็นค่าฤชาธรรมเนียม ขอผัดการวางเงินประมาณ1 เดือน ดังนี้ เป็นการขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมมีกำหนดแน่นอนเท่าที่จะทำได้ ต่อมาจำเลยที่ 5 นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาวางศาลภายใน 1 เดือน ตามที่ขอผัดไว้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตตามคำร้องและสั่งรับฎีกาจำเลยที่ 5 จึงชอบแล้ว โจทก์ชำระเงินค่าภาษีอากรตามที่ฝ่ายจำเลยเรียกเก็บโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย จำเลยจะอ้างว่าโจทก์กระทำตามอำเภอใจเพื่อชำระหนี้โดยตนรู้ว่าไม่มีความผูกพันที่ต้องชำระ อันเป็นลาภมิควรได้ซึ่งมีอายุความ 1 ปีหาได้ไม่ เมื่อโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกคืนได้ภายในอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเรียกเก็บภาษีการค้าจากโจทก์โดยไม่ชอบขอให้คืนเงินภาษีการค้าพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าตามที่ได้เสียไป การขอคืนภาษีโดยโจทก์รู้อยู่แล้วว่าไม่ต้องเสียภาษี ไม่มีสิทธิได้รับภาษีคืน และฟ้องขาดอายุความ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าคืนเงินภาษีตามฟ้องทั้งสี่สำนวนพร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสี่สำนวนอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ทั้งสี่ยื่นคำร้องและแก้ฎีกาว่า จำเลยที่ 5 ขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมในการยื่นฎีกาโดยไม่มีกำหนดแน่นอนเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่ควรสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 5 นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 5 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 5 เป็นส่วนราชการ ได้ดำเนินการตัดโอนเงินเพื่อวางศาลเป็นค่าฤชาธรรมเนียมในการยื่นฎีกาแล้ว แต่ตามระเบียบต้องผ่านหลายหน่วยงาน ไม่สามารถนำเงินมาวางศาลในวันยื่นฎีกาได้ขอผัดการวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมดังกล่าวเป็นเวลาประมาณ 1 เดือนเช่นนี้ถือว่าจำเลยที่ 5 ขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมในการยื่นฎีกาที่มีกำหนดเวลาแน่นอนเท่าที่จำเลยที่ 5 จะทำได้คือประมาณ 1 เดือน ทั้งนี้เพราะจำเลยที่ 5 ไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่าเงินที่ตัดโอนมานั้นจะได้มาเมื่อใด ทั้งปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 5 สามารถนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลภายในกำหนด 1 เดือน ตามที่ขอผัดไว้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตตามคำร้องของจำเลยที่ 5 และสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 5 จึงชอบแล้ว
ข้อเท็จจริงคงฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์ทั้งสี่ทำสัญญาขายน้ำตาลทรายดิบให้องค์การคลังสินค้า ตามสำเนาสัญญาซื้อขายน้ำตาลทรายดิบ หมาย จ.5 ถึง จ.8 โดยมีเงื่อนไขให้โจทก์ทั้งสี่ปรับปรุงคุณภาพน้ำตาลทรายดิบตามสัญญาให้มีความชื้นไม่เกินร้อยละ0.4 ต่อมาจำเลยที่ 5 แจ้งให้โจทก์ทั้งสี่นำรายรับจากการขายน้ำตาลดังกล่าวไปยื่นชำระภาษีการค้าในอัตราร้อยละเจ็ดภายในวันที่ 15ตุลาคม 2523 แล้วจะงดเบี้ยปรับเพราะน้ำตาลทรายดิบที่ผ่านกรรมวิธีแล้วไม่เป็นน้ำตาลทรายดิบต่อไป ตามสำเนาหนังสือหมาย จ.24 โจทก์ทั้งสี่จึงชำระภาษีการค้าตามสำเนาใบเสร็จรับเงินหมาย จ.27 ถึงจ.30 เป็นเงิน 1,325,992.10 บาท 1,615,466.81 บาท 1,886,498.25 บาทและ 808,244.76 บาท ตามลำดับ ต่อมาโจทก์ขอคืนเงินจากจำเลยที่ 3ตามคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรหมาย จ.31 ถึง จ.34 แต่รองผู้ว่าราชการจังหวัดรักษาการแทนจำเลยที่ 4 ไม่อนุมัติให้คืนเงินให้ตามแบบแจ้งไม่อนุมัติให้คืนเงินภาษีอากรหมาย จ.35 ถึง จ.34 ปัญหาในชั้นนี้มีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่และน้ำตาลทรายดิบที่นำมาปรับปรุงให้มีความชื้นไม่เกินร้อยละ 0.4 ยังคงเป็นน้ำตาลทรายดิบอยู่หรือไม่
โจทก์ทั้งสี่นำสืบว่า ในการแยกว่าน้ำตาลทรายเป็นน้ำตาลทรายขาวหรือน้ำตาลทรายดิบนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมวางหลักเกณฑ์ไว้ว่าน้ำตาลทรายดิบมีลักษณะเป็นสีแดงไม่ได้ฟอกและมีความชื้นตั้งแต่ร้อยละ 0.4 ถึง 0.8 น้ำตาลทรายดิบที่มีความชื้นต่ำกว่าร้อยละ0.4 ก็มี บริษัทโอเวอร์ซีส์ เมอร์แชนไดส์ อินสเปคชั่น จำกัดได้ตรวจความชื้นเกี่ยวกับน้ำตาลทรายดิบไว้ตามเอกสารหมาย จ.39ถึง จ.48 ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรมประกาศคุณภาพของน้ำตาลทรายว่ามี 3 ชนิด คือน้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์และน้ำตาลทรายดิบ โดยกำหนดความชื้นของน้ำตาลทรายขาวไว้ไม่เกินร้อยละ 0.1(หรือ 0.10) น้ำตาลทรายดิบไม่เกินร้อยละ 0.6 (หรือ 0.60) ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม หมาย จ.49 ถึง จ.52 การนำน้ำตาลทรายดิบมาปั่นให้มีความชื้นลดลงเหลือ 0.4 ก็เพื่อทำให้น้ำเหลืองออกเพื่อทำให้น้ำตาลแห้ง การปั่นไม่ทำให้น้ำตาลทรายดิบกลายเป็นน้ำตาลทรายขาว ในระยะเวลาดังกล่าวเป็นที่รู้กันทั่วไปว่ารัฐบาลนำน้ำตาลทรายดิบออกขาย ปรากฏตามข่าวหนังสือพิมพ์หมาย จ.53
จำเลยที่ 5 นำสืบว่า น้ำตาลทรายดิบมีความชื้นสูงไม่มีขายในท้องตลาด แต่ผลิตเพื่อส่งไปต่างประเทศ ที่องค์การคลังสินค้าทำสัญญาซื้อขายน้ำตาลทรายดิบกับโจทก์ทั้งสี่นั้นมีเงื่อนไขให้โจทก์ทั้งสี่นำน้ำตาลทรายดังกล่าวไปดำเนินกรรมวิธีปั่นลดความชื้นให้เหลือไม่เกินร้อยละ 0.4 เพื่อให้ใช้บริโภคได้ น้ำตาลทรายดังกล่าวจึงไม่ใช่น้ำตาลทรายดิบ
ในปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์ทั้งสี่ขาดอายุความหรือไม่นั้นเห็นว่ากรณีนี้โจทก์ทั้งสี่ชำระเงินค่าภาษีอากรที่ฝ่ายจำเลยเรียกเก็บโดยอาศัยอำนาจตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ หาใช่เรียกเก็บโดยไม่มีมูลที่จะอ้างได้ตามกฎหมายไม่ จำเลยที่ 5 จะอ้างว่าโจทก์ทั้งสี่กระทำตามอำเภอใจเพื่อชำระหนี้โดยรู้ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระอันเป็นลาภมิควรได้ซึ่งมีอายุความ 1 ปีหาได้ไม่ โจทก์ทั้งสี่จึงมีอำนาจฟ้องเรียกคืนเงินภาษีการค้าที่ชำระไปได้ภายในอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164ฟ้องของโจทก์ทั้งสี่จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยที่ 5 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับปัญหาที่ว่าน้ำตาลทรายที่พิพาทกันในคดีนี้ยังคงเป็นน้ำตาลทรายดิบอยู่หรือไม่นั้น ตามสัญญาซื้อขายน้ำตาลทรายที่พิพาทกันในคดีนี้ หมาย จ.5 ถึง จ.8 ก็ระบุไว้ชัดว่าเป็นสัญญาซื้อขายน้ำตาลทรายดิบ ตามสัญญาดังกล่าวในข้อ 3 วรรคสอง ก็ระบุไว้ชัดว่า คุณภาพน้ำตาลทรายที่จะส่งมอบนั้นจะต้องมีความชื้นไม่เกินร้อยละ 0.4 จึงแสดงให้เห็นว่าในการส่งมอบน้ำตาลทรายที่มีความชื้นไม่เกินร้อยละ 0.4 นั้น ก็ยังคงเป็นการส่งมอบน้ำตาลทรายดิบตามสัญญาอยู่นั่นเอง เพราะสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาซื้อขายน้ำตาลทรายดิบ ผู้ขายจะส่งมอบน้ำตาลทรายชนิดอื่นที่มิใช่น้ำตาลทรายดิบได้อย่างไร ในสัญญาข้อ 1 ที่ระบุให้ผู้ขายนำน้ำตาลทรายดิบไปปรับปรุงคุณภาพโดยการปั่นใหม่นั้นก็มิได้กล่าวไว้เลยว่าต้องปั่นให้เป็นน้ำตาลชนิดอื่น ดังนั้นหากพิจารณาตามสัญญาดังกล่าวแล้วจะเห็นได้ว่าน้ำตาลทรายที่พิพาทกันในคดีนี้เป็นน้ำตาลทรายดิบ อนึ่งในการส่งน้ำตาลทรายดิบออกไปต่างประเทศตามหลักฐานการตรวจสอบของบริษัทโอเวอร์ซีส์ เมอร์แชนไดส์ อินสเปคชั่น จำกัด ตามเอกสารหมาย จ.39 ถึง จ.48 ก็ปรากฏว่าน้ำตาลทรายที่มีความชื้นต่ำกว่าร้อยละ 0.4 คือมีความชื้นร้อยละ 0.39 และ 0.37 ก็ยังถือว่าเป็นน้ำตาลทรายดิบ นอกจากนี้ตามประกาศของกระทรวงอุตสาหกรรม หมายจ.49 ถึง จ.52 ที่แบ่งแยกน้ำตาลทรายออกเป็น 3 ชนิด คือน้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ และน้ำตาลทรายดิบ ก็ระบุไว้ชัดว่าน้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์มีความชื้นไม่มากกว่าร้อยละ 0.1 ส่วนน้ำตาลทรายดิบมีความชื้นไม่มากกว่าร้อยละ 0.6ดังนั้น หลักฐานทั้งปวงดังได้กล่าวมาแล้วล้วนแต่ชี้ชัดว่าน้ำตาลทรายที่พิพาทกันในคดีนี้ซึ่งมีความชื้นร้อยละ 0.4 เป็นน้ำตาลทรายดิบ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 5ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน