คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5013/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำร้องว่า ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาฎีกาลับหลังจำเลยเป็นการไม่ชอบ เพราะการส่งหมายแจ้งวันนัดไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษา ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องแล้วมีคำสั่งยกคำร้องโดยยังไม่ได้ทำการไต่สวนและสำเนาคำร้องให้แก่โจทก์ ซึ่งหากข้อเท็จจริงเป็นตามที่จำเลยกล่าวอ้าง ก็ชอบที่จะเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาได้ อันจะมีผลทำให้คดียังไม่ถึงที่สุดและโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยไม่คัดค้าน ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาจำเลย เมื่อคดีนี้เป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว โจทก์จะถอนฟ้องในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้ ศาลฎีกาจึงอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2547 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้ทนายจำเลยฟัง โดยถือว่าได้อ่านให้จำเลยฟังด้วยแล้ว ต่อมาวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2548 จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาที่ผิดระเบียบ และมีคำสั่งให้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาใหม่
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องแล้วมีคำสั่งว่า ถึงแม้จำเลยจะอ้างว่าจำเลยย้ายออกจากภูมิลำเนาตามฟ้องไปอยู่บ้านเลขที่ 397 หมู่ 5 ตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย ตั้งแต่เดือนเมษายน 2547 แล้วแต่ตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารท้ายคำร้องระบุว่า จำเลยเพิ่งย้ายเข้าไปในบ้านเลขที่ดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2547 ทั้งในการส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยก็ส่งไปยังภูมิลำเนาตามฟ้อง และจำเลยยื่นคำให้การแก้ฎีกา แสดงว่าจำเลยย่อมทราบเป็นอย่างดีว่าจะต้องมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อศาลมีหมายเรียกไป หากจำเลยย้ายภูมิลำเนาจำเลยก็ต้องแจ้งให้ศาลทราบ แต่จำเลยก็ไม่เคยแจ้งให้ศาลทราบถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิลำเนาแต่อย่างใด แสดงว่าจำเลยยังแสดงเจตนาโดยชัดแจ้งที่จะถือเอาภูมิลำเนาตามคำฟ้องเป็นภูมิลำเนาเฉพาะการสำหรับการดำเนินคดีนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 42 แม้จะได้ความว่าขณะปิดหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาจำเลยย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว ก็ต้องถือว่าจำเลยยังมีภูมิลำเนาเฉพาะการอยู่สถานที่เดิม และได้ทราบนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาโดยชอบแล้ว การอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาจึงไม่ผิดระเบียบ ไม่มีเหตุผลให้เพิกถอน ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง จำเลยไม่คัดค้าน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า การส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาให้แก่จำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2548 อ้างว่าศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยเป็นการไม่ชอบ เพราะการส่งหมายแจ้งวันนัดไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษา ข้อเท็จจริงปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องแล้วมีคำสั่งยกคำร้องโดยยังไม่ได้ทำการไต่สวนและสำเนาคำร้องให้แก่โจทก์ซึ่งหากข้อเท็จจริงเป็นตามที่จำเลยกล่าวอ้าง ก็ชอบที่จะเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาได้ อันจะมีผลทำให้คดียังไม่ถึงที่สุดและปรากฏว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจำเลยไม่คัดค้าน ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาจำเลยแต่อย่างใด คดีนี้เป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว โจทก์จะถอนฟ้องในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้ เมื่อจำเลยไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2)”
จึงให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ

Share