คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3340/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินมีความผูกพันเป็นอย่างเดียวกับผู้ออกตั๋ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 940 วรรคหนึ่งการฟ้องให้ผู้ออกตั๋วรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินต้องฟ้องภายใน 3 ปีนับแต่วันตั๋วถึงกำหนดใช้เงิน ตามมาตรา 1001 ดังนั้นการฟ้องผู้รับอาวัลจึงต้องฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าวด้วย ตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ได้ระบุเวลาใช้เงิน ถือว่าเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดพึงใช้เงินเมื่อเห็นตามมาตรา 984 วรรคสองซึ่งตั๋วประเภทนี้จะพึงใช้เงินในวันยื่นตั๋ว แต่ผู้ทรงต้องยื่นให้ใช้เงินภายในกำหนดเวลาซึ่งบังคับไว้เพื่อการยื่นให้รับรองตั๋วเงินชนิดให้ใช้เงินในเวลาหนึ่งภายหลังได้เห็น ตามมาตรา 944 ประกอบมาตรา 985 สำหรับกำหนดเวลายื่นให้รับรองตั๋วเงินนั้น มาตรา 928บัญญัติให้ผู้ทรงต้องนำตั๋วยื่นเพื่อให้รับรองภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ลงในตั๋ว หรือภายในกำหนดช้าเร็วกว่านั้นตามแต่ผู้สั่งจ่ายจะได้ระบุไว้ ดังนั้นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดพึงใช้เงินเมื่อได้เห็นอาจนำตั๋วยื่นให้ผู้ออกตั๋วใช้เงินได้ตั้งแต่วันออกตั๋ว ซึ่งก็คือวันที่ลงในตั๋วจนถึงวันครบกำหนด 6 เดือนนับแต่วันที่ลงในตั๋วอันเป็นวันสุดท้ายที่อาจยื่นให้ใช้เงินได้ ตั๋วสัญญาใช้เงินลงวันที่ 31 มกราคม 2520 ครบกำหนด 6 เดือนนับแต่วันที่ลงในตั๋วคือวันที่ 31 กรกฎาคม 2520 ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ซึ่งเป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินนำตั๋วไปยื่นให้ใช้เงินแต่อย่างใด จึงต้องถือว่าวันที่ 31 กรกฎาคม 2520อันเป็นวันสุดท้ายที่อาจบังคับให้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับอาวัลใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินได้เป็นวันถึงกำหนดใช้เงิน กำหนดอายุความ3 ปี ต้องเริ่มนับแต่วันดังกล่าว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านเพิ่งใช้สิทธิของลูกหนี้เรียกร้องให้ผู้ร้องใช้เงินเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2530 จึงขาดอายุความ

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่ผู้คัดค้านแจ้งให้ผู้ร้องชำระนั้นขาดอายุความแล้ว ทั้งนายรุ่งโรจน์นรเชษฐวุฒิชัย ผู้ออกตั๋วได้ชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ไปแล้วผู้ร้องไม่จำต้องรับผิดในหนี้สินดังกล่าว ขอให้จำหน่ายชื่อผู้ร้องออกจากบัญชีลูกหนี้ของลูกหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องเพิ่งได้เห็นตั๋วสัญญาใช้เงินในวันที่ผู้คัดค้านสอบสวนพยานหลักฐานประกอบหนังสือปฏิเสธหนี้คือเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2531 ภายหลังจากที่ผู้ร้องได้รับหนังสือทวงหนี้จากผู้คัดค้าน คดีจึงยังไม่ขาดอายุความ นายรุ่งโรจน์ยังไม่ได้ชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้แต่อย่างใด ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้องและมีคำบังคับให้ผู้ร้องชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสามฉบับ เป็นเงิน 235,461.11 บาทพร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องให้ผู้ร้องชำระหนี้จำนวน 388,510.82 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 13 ต่อปี ในต้นเงิน235,461.11 บาท นับแต่วันที่ 25 มีนาคม 2531 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ (ผู้คัดค้าน)
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าผู้ร้องรับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ 1402, 1403, และ 1404ลงวันที่ 31 มกราคม 2520 ซึ่งนายรุ่งโรจน์ นรเชษฐวุฒิชัยบอกให้แก่ลูกหนี้ เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ไม่ระบุเวลาใช้เงินทั้งสามฉบับตามเอกสารหมาย ค.6 ถึง ค.8 ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด ผู้คัดค้านในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แจ้งให้ผู้ร้องชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสามฉบับ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2530 คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่าสิทธิเรียกร้องให้ผู้ร้องจ่ายเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสามฉบับขาดอายุความแล้วหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1001 บัญญัติว่า “ในคดีฟ้องผู้รับรองตั๋วแลกเงินก็ดีผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินก็ดี ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลาสามปีนับแต่วันตั๋วนั้น ๆ ถึงกำหนดใช้เงิน” ผู้ร้องเป็นผู้รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินย่อมมีความผูกพันเป็นอย่างเดียวกับลูกหนี้ซึ่งเป็นผู้ออกตั๋ว ตามมาตรา 940 วรรคแรก การฟ้องให้ผู้ร้องรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสามฉบับ จึงต้องฟ้องภายใน 3 ปี นับแต่วันตั๋วถึงกำหนดใช้เงิน ปัญหาว่าตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวถึงกำหนดใช้เงินเมื่อใดนั้น ตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสามฉบับเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ไม่ได้ระบุเวลาใช้เงิน ต้องถือว่าเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดพึงใช้เงินเมื่อได้เห็น ตามมาตรา 984 วรรคสอง ซึ่งกำหนดใช้เงินของตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดนี้ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติว่าด้วยกำหนดใช้เงินของตั๋วแลกเงินชนิดพึงใช้เงินเมื่อได้เห็น ตามมาตรา 944ประกอบมาตรา 985 มาตรา 944 บัญญัติว่า “อันตั๋วแลกเงินซึ่งให้ใช้เงินเมื่อได้เห็นนั้น ท่านว่าย่อมจะพึงใช้เงินเมื่อวันยื่นตั๋วทั้งนี้ต้องยื่นให้ใช้เงินภายในกำหนดเวลาซึ่งบังคับไว้เพื่อการยื่นให้รับรองตั๋วเงินชนิดให้ใช้เงินในเวลาใดเวลาหนึ่งภายหลังได้เห็นนั้น” สำหรับกำหนดเวลาซึ่งบังคับไว้เพื่อการยื่นให้รับรองตั๋วเงินชนิดให้ใช้เงินในเวลาใดเวลาหนึ่งภายหลังได้เห็นนั้นมีบัญญัติไว้ใน มาตรา 928 ว่า “ผู้ทรงตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินเมื่อสิ้นระยะเวลากำหนดอย่างใดอย่างหนึ่งนับแต่ได้เห็นนั้น ต้องนำตั๋วเงินยื่นเพื่อให้รับรองภายในหกเดือนนับแต่วันที่ลงในตั๋วเงินหรือภายในเวลาช้าเร็วกว่านั้นตามแต่ผู้สั่งจ่ายจะได้ระบุไว้”แสดงว่าผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดพึงใช้เงินเมื่อได้เห็น อาจนำตั๋วอื่นให้ผู้ออกตั๋วใช้เงินได้ตั้งแต่วันออกตั๋วซึ่งก็คือวันที่ลงในตั๋ว แต่จะยื่นให้ใช้เงินภายหลังพ้นเวลา 6 เดือน นับแต่วันที่ลงในตั๋วไม่ได้กำหนดเวลาใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดพึงใช้เงินเมื่อได้เห็นจึงมีได้ตั้งแต่วันที่ลงในตั๋วจนถึงวันครบกำหนด6 เดือน นับแต่วันที่ลงในตั๋วอันเป็นวันสุดท้ายที่อาจยื่นให้ใช้เงินได้ ทั้งนี้แล้วแต่ว่าจะมีการยื่นตั๋วให้ใช้เงินวันใดตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสามฉบับในคดีนี้ลงวันที่ 31 มกราคม 2520เมื่อครบกำหนด 6 เดือน นับแต่วันที่ลงในตั๋วคือวันที่ 31 กรกฎาคม2520 ไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ซึ่งเป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสามฉบับนำตั๋วไปยื่นให้ใช้เงินแต่อย่างใด จึงต้องถือว่าวันที่ 31 กรกฎาคม2520 อันเป็นวันสุดท้ายที่อาจบังคับให้ผู้ร้องใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสามฉบับได้ เป็นวันถึงกำหนดใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสามฉบับ กำหนดอายุความ 3 ปี ตามมาตรา 1001ต้องเริ่มนับแต่วันดังกล่าวเมื่อปรากฏว่าผู้คัดค้านเพิ่งใช้สิทธิของลูกหนี้เรียกร้องให้ผู้ใช้เงินเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2530จึงขาดอายุความตามมาตรา 1001 แล้ว ผู้คัดค้านไม่มีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ร้องชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสามฉบับ”
พิพากษากลับ ให้จำหน่ายชื่อผู้ร้องจากบัญชีลูกหนี้

Share