แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์กับ ป. แต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ระหว่างอยู่กินเป็นสามีภรรยาทั้งโจทก์และ ป. ต่างมีทรัพย์สินมาลงหุ้นส่วนกัน โจทก์กับ ป.จึงเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน เมื่อ ป. ถึงแก่ความตายหุ้นส่วนระหว่างโจทก์กับ ป. จึงเลิกกันและขณะที่ ป. ถึงแก่ความตายมีทรัพย์สินของหุ้นส่วนหลายรายการ รวมทั้งบ้านและที่ดินพิพาทด้วย จำเลยให้การเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า โจทก์ไม่มีทรัพย์สินใดแม้แต่แรงงานมาลงหุ้นกับ ป. ในลักษณะของสัญญาหุ้นส่วน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องโดยอาศัยสัญญาการเข้าเป็นหุ้นส่วนได้ ทรัพย์สินตามฟ้องล้วนเป็นทรัพย์สินที่ ป. มีมาก่อนอยู่กินกับโจทก์ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันระหว่างโจทก์กับ ป. ศาลชั้นต้นจึงกำหนดเป็นประเด็นพิพาทว่า ทรัพย์สินพิพาทเป็นหุ้นส่วนระหว่างโจทก์กับ ป. หรือไม่เพียงใด เช่นนี้ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยเป็นผู้ออกเงินซื้อบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่ ป. บ้านและที่ดินพิพาทไม่ใช่ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันระหว่างโจทก์กับ ป.โจทก์จะยกปัญหาที่ว่า จำเลยซื้อบ้านและที่ดินพิพาทโดยเจตนาให้เป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์กับ ป. ขึ้นอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้เพราะมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้แต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยากับนายปริญญา ประสิทธิสรจักร์ โดยมิได้จดทะเบียนสมรส ระหว่างอยู่กินด้วยกันทั้งโจทก์และนายปริญญาต่างมีทรัพย์สินมาลงหุ้นส่วนกัน โจทก์กับนายปริญญาจึงเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนต่อมานายปริญญาถึงแก่ความตาย ความเป็นหุ้นส่วนระหว่างโจทก์กับนายปริญญาจึงเลิกกัน ทรัพย์สินที่เป็นของหุ้นส่วนได้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 143951 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรีพร้อมบ้านเลขที่ 22/59 ราคา 600,000 บาท รถยนต์หมายเลขทะเบียน4จ-0867 กรุงเทพมหานคร ราคา 200,000 บาท นาฬิกาข้อมือยี่ห้อโรเล็กซ์ โทรทัศน์ วิทยุ เครื่องเล่นวีดีโอ และเครื่องเล่นสเตอริโอ รวมราคาทั้งสิ้นประมาณ 1,200,000 บาท ต่อมาในวันที่ 4เมษายน 2531 ศาลจังหวัดนนทบุรีมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายปริญญา หลังจากนั้นแทนที่จำเลยจะจัดการแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งในฐานะหุ้นส่วน จำเลยกลับเบียดบังเอาทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของจำเลยเองทั้งหมด และเฉพาะที่ดินพร้อมบ้านเลขที่ 22/59 ดังกล่าว จำเลยได้โอนกรรมสิทธิ์ขายให้แก่นายเกียรติยศ เรืองประพันธ์ โดยมิได้ซื้อขายกันจริงเพื่อหลีกเลี่ยงการแบ่งให้โจทก์ ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยจัดการแบ่งทรัพย์สินให้โจทก์จำนวน 600,000 บาท หรือโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 143951 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด (ตลาดขวัญ)จังหวัดนนทบุรี พร้อมบ้านเลขที่ 22/59 ให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องของโจทก์ไม่บรรยายให้แจ้งชัดว่า ฟ้องให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ในฐานะส่วนตัว หรือในฐานะผู้จัดการมรดกของนายปริญญาผู้ตาย และไม่บรรยายให้เห็นว่าโจทก์กับผู้ตายได้ตกลงเข้าหุ้นส่วนกันในลักษณะใดนำทรัพย์สินมาลงทุนกันอย่างไร อันจะเป็นการเข้าหุ้นส่วนเพื่อกระทำกิจการร่วมกันและประสงค์จะแบ่งกำไรตามลักษณะของสัญญาหุ้นส่วนเป็นการบรรยายฟ้องไม่แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับ เป็นฟ้องเคลือบคลุม หากโจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดในฐานะผู้จัดการมรดก คดีก็ขาดอายุความแล้วเพราะฟ้องคดีเกิน 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตาย และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดในฐานะส่วนตัวเพราะจำเลยไม่ได้เป็นหุ้นส่วนกับโจทก์และไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ โจทก์ไม่มีทรัพย์สินใดแม้แต่แรงงานมาลงหุ้นกับนายปริญญาในลักษณะของสัญญาหุ้นส่วนโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยโดยอาศัยสัญญาการเข้าเป็นหุ้นส่วนระหว่างโจทก์กับนายปริญญา ทรัพย์สินที่โจทก์กล่าวอ้างมาทั้งหมดเป็นทรัพย์สินที่ผู้ตายมีมาก่อนอยู่กินเป็นสามีภรรยากับโจทก์ ไม่ใช่ทรัพย์ที่ทำมาหาได้ร่วมกันหรือได้มาจากการเข้าหุ้นส่วนกันระหว่างผู้ตายกับโจทก์ แต่เป็นทรัพย์สินที่จำเลยกับพลโทประชุมประสิทธิสรจักร์ และร้อยตรีหญิงชวนชื่น อุณหนันท์ ซื้อให้แก่ผู้ตายหรือให้เงินผู้ตายไปซื้อมาจึงเป็นสินส่วนตัวของผู้ตายทั้งสิ้นโจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ยุติในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2528 โจทก์ได้แต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยากับนายปริญญา ประสิทธิสรจักร์ บุตรชายของจำเลยโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย โจทก์กับนายปริญญาได้อยู่กินกันที่บ้านพิพาทเลขที่ 22/59 ตามฟ้องซึ่งจำเลยเป็นผู้ออกเงินซื้อมาจากผู้มีชื่อในราคา 435,000 บาท และได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้นายปริญญาเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2528ก่อนวันแต่งงานของโจทก์กับนายปริญญา ต่อมาเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม2529 นายปริญญาถึงแก่ความตายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ จำเลยได้รับแต่งตั้งจากศาลให้เป็นผู้จัดการมรดกของนายปริญญา เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2531 คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีส่วนแบ่งกึ่งหนึ่งในบ้านพิพาทเลขที่ 22/59 พร้อมที่ดินตามฟ้องหรือไม่ ปัญหาข้อนี้ โจทก์ฎีกาว่า จำเลยออกเงินซื้อบ้านพิพาทเลขที่ 22/59 พร้อมที่ดินตามฟ้องให้แก่นายปริญญาผู้เป็นบุตรชาย โดยเจตนาที่จะยกให้เป็นเรือนหอระหว่างนายปริญญากับโจทก์ แม้จะโอนใส่ชื่อนายปริญญาเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียว ก็ต้องถือว่าบ้านและที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างนายปริญญากับโจทก์ แต่เมื่อได้ตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้วปรากฏว่า โจทก์บรรยายฟ้องตั้งรูปคดีมาว่าโจทก์กับนายปริญญาได้แต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ระหว่างอยู่กินเป็นสามีภรรยากัน ทั้งโจทก์และนายปริญญาต่างมีทรัพย์สินมาลงหุ้นส่วนกัน โจทก์กับนายปริญญาจึงเป็นหุ้นส่วนกันโดยเป็นหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน เมื่อนายปริญญาถึงแก่ความตาย หุ้นส่วนระหว่างโจทก์กับนายปริญญาจึงเลิกกันและขณะที่นายปริญญาถึงแก่ความตายนั้น มีทรัพย์สินของหุ้นส่วนหลายรายการรวมทั้งบ้านและที่ดินพิพาทด้วย จำเลยให้การเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า โจทก์ไม่มีทรัพย์สินใดแม้แต่แรงงานมาลงหุ้นกับนายปริญญาในลักษณะของสัญญาหุ้นส่วนแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่อาจฟ้องบังคับจำเลยโดยอาศัยสัญญาการเข้าเป็นหุ้นส่วนระหว่างโจทก์กับนายปริญญาได้ ทรัพย์สินตามฟ้องของโจทก์ล้วนเป็นทรัพย์สินที่นายปริญญามีมาก่อนอยู่กินกับโจทก์ ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันระหว่างโจทก์กับนายปริญญา โจทก์ไม่อาจฟ้องเรียกร้องได้ศาลชั้นต้นจึงได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ใน ข้อ 2. ว่า ทรัพย์สินพิพาทเป็นหุ้นส่วนระหว่างโจทก์กับนายปริญญาหรือไม่เพียงใดฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงได้ความยุติว่า จำเลยเป็นผู้ออกเงินซื้อบ้านและที่ดินพิพาทให้นายปริญญา บ้านและที่ดินพิพาทจึงมิใช่ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันระหว่างโจทก์กับนายปริญญา โจทก์จะยกปัญหาที่ว่า จำเลยซื้อบ้านและที่ดินพิพาทโดยเจตนาให้เป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์กับนายปริญญาขึ้นอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้ เพราะมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ และไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นตามคำแก้ฎีกาของจำเลยข้ออื่นอีกแต่อย่างใด
พิพากษายกฎีกาของโจทก์ คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดแก่โจทก์ ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ