แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ให้บริษัท ส. ซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ในอาคารพาณิชย์ของบริษัท ด.เช่าโทรศัพท์ต่อมาบริษัทส. ย้ายออกไปและมอบเครื่องโทรศัพท์ให้บริษัท ด.ไว้บริษัทด. นำโทรศัพท์ดังกล่าวให้โจทก์ใช้โดยโจทก์นำค่าเช่าและค่าบริการไปชำระให้แก่จำเลยที่ 1 ตลอดมา ต่อมาจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ได้ปลดฟิวส์ งดมิให้ใช้บริการ เนื่องจากค้างชำระค่าเช่าและค่าบริการของงวดที่เกิดขึ้นในระหว่างวันที่โจทก์ใช้อยู่ประเด็นแห่งคดีมีว่าจำเลยที่ 3 ได้ทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มิใช่ผู้เช่าโทรศัพท์และเป็นบุคคลภายนอก เป็นการพิจารณาถึงสิทธิของโจทก์ว่ามีต่อจำเลยทั้งสามอย่างไรบ้างเพื่อที่จะให้เห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 3ซึ่งทำให้โจทก์ไม่ได้ใช้โทรศัพท์นั้นเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ทั้งเหตุที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นมาวินิจฉัยนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับประเด็นที่โต้แย้งกันโดยตรงซึ่งจำเลยทั้งสามได้ให้การต่อสู้คดี ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น โจทก์มิได้ทำสัญญาเป็นผู้เช่าโทรศัพท์กับจำเลยที่ 1 โจทก์เป็นแต่เพียงผู้ครอบครองและใช้โทรศัพท์โดยได้รับมอบหมายจากบริษัท ด. เจ้าของอาคารที่โจทก์เช่าตั้งสำนักงานประกอบกิจการอยู่เท่านั้น แม้โจทก์ชำระค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์ให้จำเลยที่ 1 ตลอดมา ก็ถือว่าโจทก์เป็นแต่เพียงมีสิทธิใช้โดยพฤตินัยเท่านั้น หาได้มีสิทธิผูกพันจำเลยที่ 1 ไม่ การที่โจทก์ชำระค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์เท่ากับเป็นการชำระแทนผู้เช่าเดิมและใช้โดยอาศัยสิทธิของผู้เช่าเดิมคือบริษัท ส. เท่านั้นโจทก์จึงไม่มีนิติสัมพันธ์เกี่ยวกับการใช้หรือครอบครองโทรศัพท์กับจำเลยที่ 1 ในอันที่จำเลยที่ 1 จะต้องแจ้งให้โจทก์ทราบก่อนปลดฟิวส์ ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1ได้ส่งใบแจ้งเตือนให้ผู้เช่าตามที่อยู่ซึ่งให้ไว้ตรงตามสัญญาเช่าให้นำเงินไปชำระค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์ที่ค้างชำระอยู่แก่จำเลยที่ 1 ครบกำหนดตามใบแจ้งเตือนแล้วผู้เช่าไม่นำเงินไปชำระ การที่จำเลยที่ 3 ขออนุมัติและทำการปลดฟิวส์ ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้กระทำการตามหน้าที่ และตามระเบียบของจำเลยที่ 1แล้ว จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 3 ได้ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตสั่งระงับการใช้โทรศัพท์หมายเลข 2330567 ซึ่งโจทก์เป็นผู้ครอบครองและใช้ในการปฏิบัติงานประจำอยู่ที่สำนักงานกฎหมายโกสุมภ์และเพื่อนอาคารพาณิชย์ดุสิตธานี ห้อง1101 บี. โดยอ้างว่าโจทก์ค้างชำระค่าใช้บริการทั้ง ๆ ที่โจทก์ไม่เคยค้างชำระและจำเลยที่ 3ระงับการใช้โทรศัพท์โดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนว่าจะต้องนำค่าใช้โทรศัพท์ที่ค้างไปชำระ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเนื่องจากลูกความของสำนักงานโจทก์ไม่สามารถติดต่อกับโจทก์ได้เป็นเหตุให้ลูกความไม่ทราบนัดที่จะต้องไปศาลอย่างน้อย 3 คดีทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคิดถึงวันฟ้องเป็นเงินไม่ต่ำกว่า100,000 บาท และขาดประโยชน์ที่ไม่ได้ใช้โทรศัพท์หมายเลขดังกล่าวคิดเป็นเงินวันละ 3,000 บาท จำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และภายใต้การควบคุมบังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามต่อสายโทรศัพท์หมายเลข 2330567 ให้โจทก์ใช้เช่นเดิม และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายกับค่าขาดประโยชน์และค่าเสียหายจากวันฟ้องแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์มิได้เป็นผู้เช่าโทรศัพท์หมายเลข 2330567 การที่จำเลยที่ 3 ปลดฟิวส์ งดให้บริการใช้โทรศัพท์จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ นอกจากนี้โจทก์และจำเลยที่ 1 มิได้มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสาม ก่อนที่จำเลยที่ 3 จะขออนุมัติปลดฟิวส์ งดให้บริการนั้นจำเลยที่ 3 ได้ตรวจสอบหลักฐานพบว่า ผู้เช่าโทรศัพท์เลขหมายดังกล่าว คือบริษัทสายการบิน ที ดับบลิว เอ จำกัด ค้างชำระค่าเช่า จำเลยที่ 3 จึงมีหนังสือทวงถามไปตามที่อยู่ในทะเบียนติดตั้งเลขที่ 1-3 ศาลาแดง แต่ส่งให้ผู้เช่าไม่ได้โดยได้รับแจ้งว่าย้ายไปแล้ว เมื่อครบกำหนดเวลาตามระเบียบ จำเลยที่ 3 จึงขออนุมัติปลดฟิวส์ จึงไม่เป็นละเมิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 30,000 บาท คำขออื่นสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 3ให้ยกและให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 3 อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1และที่ 3 ด้วยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยทั้งสามนำสืบรับกันโดยไม่โต้แย้งเป็นอย่างอื่นฟังได้เบื้องต้นว่า โจทก์ได้เช่าห้องของอาคารพาณิชย์ดุสิตธานี ถนนพระราม 4 เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเจ้าของผู้ให้บริการเช่าโทรศัพท์ มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้อำนวยการและจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าหนี้ที่เร่งรัดหนี้ของจำเลยที่ 1 ประจำอยู่ที่ชุมสายสุรวงศ์เมื่อ พ.ศ. 2518 จำเลยที่ 1 ได้ให้บริษัทสายการบินที ดับบลิว เอ จำกัด ซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ในอาคารพาณิชย์ดุสิตธานี ทำให้สัญญาเช่าโทรศัพท์หมายเลข 2330567 ดังปรากฏตามสัญญาเช่าเอกสาร ล.8 ต่อมาบริษัทสายการบินดังกล่าว ย้ายออกไปจากอาคารพาณิชย์ดุสิตธานี และได้มอบเครื่องโทรศัพท์ให้บริษัทดุสิตธานี จำกัด ไว้บริษัทดุสิตธานี จำกัด จึงนำโทรศัพท์ดังกล่าวให้โจทก์ใช้โดยตอนแรกบริษัทจะออกค่าเช่าและค่าบริการแทนไปก่อนแล้วโจทก์จึงนำมาชำระให้แก่บริษัทครั้นภายหลังโจทก์ได้นำค่าเช่าและค่าบริการไปชำระให้แก่จำเลยที่ 1 เอง และได้ติดต่อขอเป็นผู้เช่าโทรศัพท์แทนบริษัทสายการบินดังกล่าว จำเลยที่ 1 รับเรื่องไว้แล้ว แต่ยังไม่ดำเนินการให้ระหว่างที่โจทก์ครอบครองและใช้โทรศัพท์อยู่ ปรากฏว่าจำเลยที่ 3ตรวจพบว่าผู้เช่าโทรศัพท์ดังกล่าวยังค้างชำระค่าเช่าและค่าบริการประจำเดือนมีนาคม 2527 เป็นเงินจำนวน 628 บาท จำเลยที่ 3 จึงส่งหนังสือแจ้งเตือนผู้เช่าไปพร้อมกับใบแจ้งหนี้ประจำเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2528 ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.3และ ล.9 (แผ่นที่ 2) โดยส่งทางไปรษณีย์ตอบรับ ปรากฏว่าส่งให้ผู้เช่าไม่ได้ เพราะได้ย้ายไปแล้ว ทางพนักงานไปรษณีย์จึงส่งเอกสารดังกล่าวกลับคืนมาให้ดังปรากฏตามเอกสารหมาย จ.3 ต่อมาผู้เช่าได้นำเงินค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์ไปชำระเฉพาะประจำเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2528 เท่านั้น โดยไม่ยอมชำระที่ค้างประจำเดือนมีนาคม 2527 จนครบกำหนดเวลาที่แจ้งเตือนแล้วจำเลยที่ 3 จึงขออนุมัติปลดฟิวส์และทำการปลดฟิวส์งดมิให้ใช้บริการ โจทก์จึงใช้โทรศัพท์ดังกล่าวไม่ได้ ปัญหาสำคัญที่ควรวินิจฉัยเสียก่อนมีว่า การที่จำเลยที่ 3 ทำการปลดฟิวส์ระงับการใช้โทรศัพท์ที่โจทก์ใช้อยู่นั้น เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตซึ่งเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาในข้อแรกว่าศาลอุทธรณ์พิจารณาโดยตั้งประเด็นขึ้นมาใหม่ว่า จำเลยที่ 3 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่แล้วพิพากษาว่าโจทก์มิใช่ผู้เช่าโทรศัพท์ โจทก์เป็นบุคคลภายนอก การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นได้ตั้งไว้ และไม่เป็นประเด็นที่โต้แย้งกันมาแต่ศาลชั้นต้น จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 วรรคแรก และศาลอุทธรณ์ยังวินิจฉัยอีกว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 เพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้เช่าโทรศัพท์ ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1 จึงเท่ากับวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นไม่ได้ตั้งประเด็นไว้นั้น เห็นว่าประเด็นแห่งคดีนี้มีอยู่โดยตรงแล้วว่า จำเลยที่ 3 ได้ทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มิใช่ผู้เช่าโทรศัพท์และเป็นบุคคลภายนอกนั้น เป็นการพิจารณาถึงสิทธิของโจทก์ว่ามีต่อจำเลยทั้งสามอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะให้เห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 ซึ่งทำให้โจทก์ไม่ได้ใช้โทรศัพท์นั้นเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ทั้งเหตุที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นมาวินิจฉัยนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับประเด็นที่โต้แย้งกันโดยตรง ซึ่งจำเลยทั้งสามได้ให้การต่อสู้และนำสืบมาแต่ต้นแล้วและไม่ขัดกับที่ศาลชั้นต้นได้ตั้งประเด็นไว้ทั้งนี้เพราะการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ย่อมเห็นได้ว่าได้นำสิทธิของโจทก์ที่โจทก์มีต่อจำเลยทั้งสามและพฤติการณ์แห่งคดีมาวินิจฉัยการกระทำของจำเลยที่ 3 ว่า เป็นละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ความรับผิดฐานละเมิดนั้นอาจเกิดแก่บุคคลใดที่ไม่ใช่คู่สัญญาก็ได้จึงไม่จำเป็นต้องมีนิติสัมพันธ์ต่อกันมาก่อนอย่างเช่นในกรณีของเอกเทศสัญญา และเรื่องนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับสัญญาเช่าแต่ฟ้องฐานละเมิด โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายได้นั้น เห็นว่าการฟ้องฐานละเมิดอาจเกิดขึ้นได้ทั้งกรณีที่มีสัญญาและไม่มีสัญญาซึ่งแล้วแต่ว่าการกระทำละเมิดนั้นเกิดขึ้นจากเหตุและกรณีใดเป็นเรื่อง ๆ ไป ทั้งนี้ต้องอาศัยพฤติการณ์แห่งคดีเป็นหลักและผู้ที่มีสิทธิฟ้องคดีฐานละเมิดนั้น ต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยหาใช่เพียงแต่เป็นผู้เสียหายโดยพฤตินัยเท่านั้นไม่และบางกรณีต้องเป็นผู้เสียหายตามสัญญาที่ได้ทำไว้ต่อกันเท่านั้น บุคคลภายนอกแม้จะได้รับความเสียหายก็ไม่มีสิทธิฟ้องคดีได้ เพราะมิใช่เป็นการทำละเมิดต่อผู้นั้น ดังเช่นคดีนี้ ข้อเท็จจริงฟังยุติแล้วว่าโจทก์มิได้ทำสัญญาเป็นผู้เช่าโทรศัพท์กับจำเลยที่ 1 แต่การที่ผู้ใดจะมีสิทธิติดตั้งใช้โทรศัพท์จากจำเลยที่ 1 ต้องขอและได้รับอนุญาต แล้วทำสัญญาเป็นผู้เช่ากับจำเลยที่ 1 เสียก่อน จำเลยที่ 1จึงจะจัดการติดตั้งให้เช่าใช้โทรศัพท์ได้ เมื่อได้ทำสัญญาเช่าไว้แล้วมีการจงใจหรือประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่ฝ่ายใด ก็ถือได้ว่ามีการทำละเมิดเกิดขึ้นโดยนิตินัย แต่กรณีของโจทก์เห็นได้ชัดว่าเป็นแต่เพียงผู้ครอบครองและใช้โทรศัพท์โดยได้รับมอบหมายมาจากบริษัทดุสิตธานี จำกัด เจ้าของอาคารที่โจทก์เช่าตั้งสำนักงานประกอบกิจการอยู่เท่านั้น แม้โจทก์ได้ชำระค่าเช่า และค่าบริการโทรศัพท์ให้จำเลยที่ 1 ตลอดมาก็ถือว่าโจทก์เป็นแต่เพียงมีสิทธิใช้โดยพฤตินัยเท่านั้น หาได้มีสิทธิผูกพันกับจำเลยที่ 1 ไม่ การที่โจทก์ชำระค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์เท่ากับเป็นการชำระแทนผู้เช่าเดิมและใช้โดยอาศัยสิทธิของผู้เช่าเดิมคือบริษัทสายการบิน ทีดับบลิว เอ จำกัด ทั้งนี้เพราะสัญญาเช่าโทรศัพท์ระหว่างบริษัทดังกล่าวกับจำเลยที่ 1ยังมิได้เลิกกัน และโจทก์ยังไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 1 ให้เป็นผู้เช่าโทรศัพท์แทนบริษัทดังกล่าว และข้อเท็จจริงปรากฏชัดและฟังได้ว่าตั้งแต่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาให้บริษัทสายการบินดังกล่าวเป็นผู้เช่าโทรศัพท์ตามสัญญาเอกสารหมาย ล.8 เป็นต้นมา จำเลยที่ 1ได้มีหนังสือติดต่อและแจ้งเก็บเงินค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์กับผู้เช่าตลอดมา หาได้มีเอกสารติดต่อกับโจทก์โดยตรงไม่ แม้แต่ค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์ที่จำเลยที่ 3 ตรวจพบว่ามีการค้างชำระประจำเดือนมีนาคม 2527 แล้วจำเลยที่ 3 ได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนให้นำเงินไปชำระตามเอกสารหมาย ล.3 และ ล.9 (แผ่นที่ 2)ก็ตาม มีข้อความเป็นตัวอักษรในหนังสือเอกสารดังกล่าวชัดแจ้งว่าบริษัทสายการบินที ดับบลิว เอ จำกัด ซึ่งเป็นผู้เช่า หาใช่หนังสือไปถึงโจทก์ไม่ แสดงว่าจำเลยที่ 1 ยังคงถือว่าบริษัทสายการบินดังกล่าวเป็นคู่สัญญาเช่าโทรศัพท์เครื่องพิพาทกับจำเลยที่ 1 ตลอดมา จึงฟังไม่ได้ว่า โจทก์มีนิติสัมพันธ์เกี่ยวกับการใช้หรือครอบครองโทรศัพท์กับจำเลยที่ 1 แต่ประการใดฉะนั้น การที่โจทก์อ้างว่าเป็นละเมิดต่อโจทก์เพราะไม่แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนปลดฟิวส์ โจทก์มีสิทธินำคดีมาฟ้องจึงรับฟังไม่ได้ทั้งเมื่อโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ก็ไม่ต้องแจ้งให้โจทก์ทราบไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ทั้งสิ้น และที่โจทก์อ้างว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้ส่งเอกสารหมาย ล.3 ซึ่งเป็นใบแจ้งเตือนให้ผู้เช่านำเงินไปชำระค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์ตามที่อยู่ของผู้เช่านั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสามมีหลักฐานเป็นซองจดหมายใส่เอกสารและได้จ่าหน้าซองถึงที่อยู่ของผู้เช่าซึ่งได้ให้ไว้ตรงตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย ล.8 ชัดแจ้งแล้ว ประกอบกับนายแสวง วรรณจู ซึ่งเป็นพยานของโจทก์เองเบิกความยืนยันว่าซองเอกสารหมาย จ.3 ส่งให้ผู้รับไม่ได้ พยานจึงลงชื่อไว้บนซองแสดงว่าจำเลยที่ 3 ได้ส่งใบแจ้งเตือนให้ผู้เช่านำเงินไปชำระค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์ประจำเดือนมีนาคม 2527 ที่ค้างชำระอยู่แก่จำเลยที่ 1 แล้ว แม้โจทก์จะไม่ทราบก็ตามก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแจ้งให้โจทก์ทราบดังที่วินิจฉัยข้างต้น ฉะนั้นเมื่อครบกำหนดตามใบแจ้งเตือนแล้วผู้เช่ายังไม่นำเงินค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์ไปชำระ การที่จำเลยที่ 3 ขออนุมัติและทำการปลดฟิวส์ย่อมถือได้ว่า จำเลยที่ 3 ได้กระทำการตามหน้าที่และตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ว่าด้วยการงดให้บริการแก่ผู้เช่าโทรศัพท์ที่ค้างชำระค่าบริการ พ.ศ. 2526 ตามเอกสารหมาย จ.30 แล้วการกระทำของจำเลยที่ 3 ได้กระทำไปโดยสุจริตไม่ผิดระเบียบของจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์โดยไม่ต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นอีกต่อไป ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน