คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2386/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุดจะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ก็ตามแต่เงินผ้าป่า 150,000 บาท เป็นเงินที่ชาวบ้านนำไปทอดให้สำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุดซึ่งพระภิกษุ ป. เป็นเจ้าคณะสงฆ์อยู่ในขณะนั้น พระภิกษุ ป. จึงมีหน้าที่ดูแลเงินผ้าป่าดังกล่าว เมื่อพระภิกษุ ป. มอบให้พระภิกษุ ข.เป็นผู้เลือกชาวบ้านเป็นกรรมการดูแลรับผิดชอบจำนวนเงินนั้นส.ง.ร. และจำเลยได้รับเลือกเป็นกรรมการและร่วมกันรับมอบเงินจำนวนดังกล่าวไปเก็บรักษา หากจำนวนเงินดังกล่าวสูญหาย กรรมการทั้งสี่ต้องร่วมกันรับผิดต่อสำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุด แม้กรรมการแต่ละคนจะได้รับเงินเพียงบางส่วนไปเก็บรักษาก็เป็นการแบ่งความรับผิดชอบกันเองภายหลังจากรับเงินทั้งจำนวนมาแล้ว การที่จำเลยรับมอบเงินจำนวน40,000 บาท ไปเก็บรักษาแล้วยักยอกเงินจำนวนนั้นไปส.ง.ร. จึงเป็นผู้เสียหายในอันที่จะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยได้ โดยถือว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ของสำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุดซึ่งอยู่ในความครอบครองของส.ง.ร. และจำเลย แม้หนังสือมอบอำนาจให้ไปร้องทุกข์จะไม่ได้ปิดแสตมป์ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้เนื่องจาก ประมวลรัษฎากรฯมาตรา 118 ห้ามมิให้รับฟังหนังสือมอบอำนาจที่ไม่ปิดแสตมป์เป็นพยานหลักฐานเฉพาะในคดีแพ่งเท่านั้น มิได้ห้ามมิให้รับฟังในคดีอาญาด้วย ทั้งการมอบอำนาจให้ไปร้องทุกข์ก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ต้องทำเป็นหนังสือแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลย นายสังวาร กองแก้ว นายประเสริฐ ศรียาและนายสว่าง ทองเรือง ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการรับผิดชอบการเงินของสำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุดได้รับมอบเงินของสำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุดไว้ในความครอบครองดูแลร่วมกัน ต่อมาจำเลยซึ่งครอบครองเงินจำนวน 40,000 บาท ของสำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุดได้เบียดบังเอาเงินจำนวนดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริตขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 40,000 บาท แก่สำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุด
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 (ที่ถูกมาตรา 352 วรรคแรก) จำคุก 1 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 40,000 บาท แก่สำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยว่าสำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุดเป็นนิติบุคคลหรือไม่ การที่จำเลยยักยอกเงินของสำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุด นายสว่าง ทองเรืองนายสังวาร กองแก้ว และนายประเสริฐ ศรียา เป็นผู้เสียหายที่จะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนหรือไม่ และหนังสือมอบอำนาจให้ไปร้องทุกข์ไม่ได้ปิดแสตมป์จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าพระภิกษุประจักษ์เป็นเจ้าคณะสงฆ์สำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุด เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2536ชาวบ้านร่วมกันนำผ้าป่าไปทอดให้สำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุดได้รับเงินสุทธิ 150,000 บาท ขณะนั้นพระภิกษุประจักษ์ยังเป็นพระภิกษุจำวัดอยู่ที่สำนักสงฆ์ดังกล่าวได้ให้พระภิกษุขวัญเมือง ฝีมือช่างหรือสุธรรมโม เลือกชาวบ้านเป็นกรรมการดูแลรับผิดชอบเงินจำนวนดังกล่าว พระภิกษุขวัญเมืองจึงให้นายสว่างเป็นผู้เลือกชาวบ้าน 4 คน เป็นกรรมการดูแลรักษาเงิน นายสว่างได้เสนอตนเอง นายสังวาร นายประเสริฐและจำเลยเป็นกรรมการด้วยความเห็นชอบของชาวบ้านที่มาทอดผ้าป่าจากนั้นกรรมการทั้งสี่ร่วมกันรับมอบเงินไปเก็บรักษาโดยนายสว่างเป็นผู้กำหนดจำนวนเงินให้กรรมการแต่ละคนไปเก็บรักษา ซึ่งนายสว่างได้ให้นายสังวารกับนายประเสริฐเก็บรักษาเงินคนละ 30,000 บาทจำเลยเก็บรักษาเงิน 40,000 บาท ส่วนนายสว่างเก็บรักษาเงิน50,000 บาท เมื่อสำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุดต้องการใช้จ่ายเงินพระภิกษุขวัญเมืองจะเบิกเงินจากนายสว่างตลอดมา จนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน 2536 ทางสำนักสงฆ์ดังกล่าวเบิกเงินซึ่งเก็บรักษาไว้ที่นายสว่าง นายสังวาร และนายประเสริฐรวมเป็นเงิน 110,000 บาทหมด ทางสำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุดต้องการใช้จ่ายเงินอีก นายสว่างกับนายสังวารจึงไปทวงถามเงินจากจำเลยหลายครั้งแต่จำเลยบอกว่ายังไม่มีเงิน ครั้งวันที่ 5 ธันวาคม 2537 นายสว่างนายสังวาร และนายประเสริฐไปทวงถามเงินจากจำเลยอีก จำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้เก็บรักษาเงินของสำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุดนายสว่าง นายสังวารและนายประเสริฐจึงมอบอำนาจให้นายสว่างไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอปะคำให้ดำเนินคดีแก่จำเลย
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า สำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุดจะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ก็ตาม แต่เงินผ้าป่า 150,000 บาท เป็นเงินที่ชาวบ้านนำไปทอดให้สำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุดซึ่งพระภิกษุประจักษ์เป็นเจ้าคณะสงฆ์อยู่ในขณะนั้น พระภิกษุประจักษ์จึงมีหน้าที่ดูแลเงินผ้าป่าดังกล่าว เมื่อพระภิกษุประจักษ์มอบให้พระภิกษุขวัญเมืองเป็นผู้เลือกชาวบ้านเป็นกรรมการดูแลรับผิดชอบจำนวนเงินนั้น นายสว่าง นายสังวาร นายประเสริฐ และจำเลยได้รับเลือกเป็นกรรมการและร่วมกันรับมอบเงินจำนวนดังกล่าวไปเก็บรักษา หากจำนวนเงินดังกล่าวสูญหายกรรมการทั้งสี่ต้องร่วมกันรับผิดต่อสำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุด แม้กรรมการแต่ละคนจะได้รับเงินเพียงบางส่วนไปเก็บรักษาก็เป็นการแบ่งความรับผิดชอบกันเองภายหลังจากรับเงินทั้งจำนวนมาแล้ว การที่จำเลยรับมอบเงินจำนวน 40,000 บาท ไปเก็บรักษาแล้วยักยอกเงินจำนวนนั้นไปนายสว่าง นายสังวาร และนายประเสริฐจึงเป็นผู้เสียหายในอันที่จะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยได้โดยถือว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ของสำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุดซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายสว่าง นายสังวาร นายประเสริฐและจำเลยเมื่อนายสว่างผู้รับมอบอำนาจจากกรรมการอื่นให้ไปร้องทุกข์การร้องทุกข์ของนายสว่างจึงเป็นการร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมายแม้หนังสือมอบอำนาจให้ไปร้องทุกข์จะไม่ได้ปิดแสตมป์ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ เนื่องจากประมวลรัษฎากร มาตรา 118ห้ามมิให้รับฟังหนังสือมอบอำนาจที่ไม่ปิดแสตมป์เป็นพยานหลักฐานเฉพาะในคดีแพ่งเท่านั้นมิได้ห้ามมิให้รับฟังในคดีอาญาแต่อย่างใดทั้งการมอบอำนาจให้ไปร้องทุกข์ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ต้องทำเป็นหนังสือ เมื่อนายสังวารกับนายประเสริฐเบิกความยืนยันว่ามอบอำนาจให้นายสว่างไปร้องทุกข์ก็เพียงพอที่จะรับฟังได้ฎีกาข้อกฎหมายอื่นของจำเลยนอกจากนี้ไม่เป็นสาระที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share