คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 50/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตกับความผิดฐานนำสิ่งของต้องห้ามเข้าไปในเรือนจำ เป็นความผิดต่อกฎหมายคนละฉบับ ซึ่งอาศัยเจตนาในการกระทำผิดแตกต่างแยกจากกันได้ สำหรับความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองนั้น สาระสำคัญอยู่ที่การไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายจำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองเมื่อใด ก็เกิดเป็นความผิดสำเร็จขึ้นเมื่อนั้นส่วนการนำกัญชาซึ่งเป็นสิ่งของต้องห้ามเข้าไปในเรือนจำ ย่อมเป็นความผิดเมื่อจำเลยฝ่าฝืนนำเข้าไป ซึ่งเป็นการกระทำอีกกรรมหนึ่งต่างหาก เพราะจำเลยมีเจตนาที่แยกต่างหากจากการกระทำผิดฐานแรก แม้กัญชาของกลางในความผิดทั้งสองฐานนี้เป็นจำนวนเดียวกันก็ตาม การที่จำเลยมีกัญชาไว้ในความครอบครองและนำกัญชาดังกล่าวเข้าไปในเรือนจำ จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีกัญชาแห้ง ๑ ห่อ หนัก ๕.๕ กรัม ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และนำกัญชาดังกล่าวซึ่งเป็นสิ่งของต้องห้ามเข้าไปในเรือนจำ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗,๒๖, ๗๖, ๑๐๒ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๒๒) เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. ๒๕๒๒ ประกาศลงวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๒๒ ข้อ ๔ พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พุทธศักราช ๒๔๗๘ มาตรา ๔๕, ๕๘ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๒๖, ๗๖, ๑๐๒ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๒๒) เรื่อง ระบุชื่อและประเภทของยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ประกาศลงวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๒๒ ข้อ ๔ พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พุทธศักราช๒๔๗๙ มาตรา ๔๕, ๕๘ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๖ ซึ่งเป็นบทหนัก ให้จำคุก ๓ เดือน และปรับ ๘๐๐ บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๑ เดือน ๑๕ วัน และปรับ ๔๐๐ บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๕๖ ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๒๙, ๓๐ ริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต กับความผิดฐานนำสิ่งของต้องห้ามเข้าไปในเรือนจำ เป็นความผิดต่อกฎหมายคนละฉบับ ซึ่งอาศัยเจตนาในการกระทำผิดแตกต่างแยกจากกันได้ สำหรับความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองนั้น สาระสำคัญอยู่ที่การไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายจำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองเมื่อใดก็เกิดเป็นความผิดสำเร็จขึ้นเมื่อนั้น ส่วนการนำกัญชาซึ่งเป็นสิ่งของต้องห้ามเข้าไปในเรือนจำ ย่อมเป็นความผิดเมื่อจำเลยฝ่าฝืนนำเข้าไป ซึ่งเป็นการกระทำอีกกรรมหนึ่งต่างหาก เพราะจำเลยมีเจตนาที่แยกต่างหากจากการกระทำผิดฐานแรก แม้กัญชาของกลางในความผิดทั้งสองฐานนี้เป็นจำนวนเดียวกันก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน หาใช่เป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์พ.ศ. ๒๔๗๙ มาตรา ๔๕ อีกกระทงหนึ่ง ให้ลงโทษปรับ ๔๐๐ บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงปรับ ๒๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share