คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 926/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มาตรา 7 พระราชบัญญัติกัญชา หาได้บัญญัติถึงความผิดฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย แยกออกจากการมีกัญชาด้วยไม่
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า วันเวลาที่จำเลยมีกัญชาแห้งไว้ในความครอบครองก็อยู่ในวันเวลาสุดท้ายที่หาว่าจำเลยมีกัญชาสดไว้ในความครอบครองนั่นเอง จึงเป็นการครอบครองกัญชาทั้งสองชนิดพร้อมกันตลอดมาการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2519 ถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2519 เวลากลางวันและกลางคืน จำเลยปลูกกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามวันเวลาดังกล่าวแต่ต่างวาระกัน จำเลยมีกัญชาสด 100 ต้น หนัก 20,800 กรัม ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานต่อมาวันที่ 29 ธันวาคม 2519 เวลากลางวัน จำเลยมีกัญชาแห้ง 1 มัด หนัก 1,900 กรัม ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ. 2477 มาตรา 5, 7, 9, 10 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 91 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 2 และริบของกลาง

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ. 2477 มาตรา 5, 7, 9, 10 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 91 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 2 ลงโทษฐานปลูกกัญชา จำคุก 1 ปี ปรับ 500 บาท ลงโทษฐานมีกัญชาสดจำคุก 6 เดือน ปรับ 200 บาท ลงโทษฐานมีกัญชาแห้ง จำคุก 6 เดือน ปรับ 200 บาท รวมจำคุก 2 ปี ปรับ 900 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี ปรับ 450 บาท ของกลางริบ

จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษปรับสถานเดียว และรอการลงโทษ

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษฐานปลูกกัญชาจำคุก 6 เดือน และฐานมีกัญชา จำคุก 3 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 9 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 4 เดือน 15 วัน ของกลางริบคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย ตามพฤติการณ์แห่งคดี ไม่มีเหตุสมควร จึงไม่รอการลงโทษให้ตามคำขอ

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษฐานมีกัญชาแห้งไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายอีกกระทงหนึ่ง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติกัญชา มาตรา 7 หาได้บัญญัติถึงความผิดฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายแยกออกจากการมีกัญชาด้วยไม่ แต่พออนุมานได้ว่าฎีกาของโจทก์มุ่งประสงค์ให้ลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาแห้งไว้ในความครอบครองอีกกระทงหนึ่งด้วยเท่านั้น แล้ววินิจฉัยว่าคำฟ้องของโจทก์ข้อ 1 ข. มีใจความว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2519 ถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2519 เวลากลางวันและกลางคืน แต่ต่างวาระกัน จำเลยบังอาจมีกัญชาสดหนัก 20,800 กรัม ไว้ในความครอบครอง และข้อ 1 ค. มีใจความว่า ต่อมาวันที่ 29 ธันวาคม 2519 เวลากลางวัน จำเลยบังอาจมีกัญชาแห้งหนัก 1,900 กรัม ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าวันเวลาที่จำเลยมีกัญชาแห้งไว้ในความครอบครองก็อยู่ในวันเวลาสุดท้ายที่หาว่าจำเลยมีกัญชาสดไว้ในครอบครองตามฟ้องข้อ 1 ข. นั่นเอง ซึ่งจะเห็นได้จากตามฟ้องข้อ 2 มีใจความว่า วันที่ 29 ธันวาคม 2519 เวลากลางวันเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยกัญชาดังกล่าวในฟ้องข้อ 1 คือกัญชาสดและกัญชาแห้งถูกยึดไว้ได้ในวันเดียวกัน แม้เจ้าพนักงานไปจับและยึดกัญชาสดได้จากไร่ของจำเลยก่อนแล้วมาได้กัญชาแห้งที่กระท่อมนาของจำเลยภายหลังก็ตาม แต่ตามวันเวลาในฟ้องโจทก์ข้อ 1 ข. และ ค. จำเลยได้บังอาจครอบครองกัญชาทั้งสองชนิดพร้อมกันตลอดมา ซึ่งหาใช่จำเลยครอบครองกัญชาสด มาก่อนแล้วมาครอบครองกัญชาแห้งภายหลัง อันเป็นการกระทำหลายกรรมตามที่โจทก์ฎีกาไม่ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวกัน

พิพากษายืน

Share