แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีร้องขัดทรัพย์ศาลชั้นต้นสั่งว่าโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยจึงมีอยู่ตามคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องซึ่งอ้างว่าทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นของผู้ร้องโดยได้มาจากการแบ่งปันสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 เมื่อหย่ากัน ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าทรัพย์สินที่ยึดเป็นของผู้ร้องหรือไม่จึงชอบแล้ว เมื่อคดีมีประเด็นพิพาทเพียงข้อเดียวว่า ทรัพย์สินที่ยึดเป็นของผู้ร้องหรือไม่เท่านั้น ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า แม้โจทก์มิได้ฟ้องผู้ร้องด้วย แต่ผู้ร้องก็ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2เพราะเป็นหนี้ที่จำเลยที่ 2 มิได้ทำเฉพาะตัว หากแต่เป็นการกระทำที่เกี่ยวข้องกับกิจการอันจำเป็นในครอบครัวเกี่ยวกับสินสมรสและเป็นหนี้เกิดจากการงานที่จำเลยที่ 2 กับผู้ร้องทำด้วยกันในฐานะที่เป็นสามี ภริยากัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1490 โจทก์จึงมีสิทธินำยึดทรัพย์รายนี้มาชำระหนี้ได้นั้นจึงเป็นเรื่องนอกประเด็นตามคำร้อง อีกทั้งมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฎีกาในประเด็นข้อนี้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์จึงขอออกหมายบังคับคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินเพื่อขายทอดตลาดโดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยทั้งสอง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ทรัพย์ดังกล่าวเป็นของผู้ร้อง ซึ่งได้มาแต่การแบ่งปันสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ขณะหย่าขาดจากกัน ทั้งผู้ร้องมิได้รู้เห็นด้วยกับหนี้สินที่จำเลยที่ 2 มีต่อโจทก์ ขอให้สั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึดดังกล่าว
โจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดคืนแก่ผู้ร้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้ร้อง โดยกำหนดค่าทนายความ 400 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้ร้อง โดยกำหนดค่าทนายความให้ 400 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่าการที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นวินิจฉัยเพียงข้อเดียวว่า ทรัพย์สินที่ยึดเป็นของผู้ร้องหรือไม่ โดยมิได้กำหนดประเด็นว่าสินสมรสที่ผู้ร้องได้รับแบ่งปันจากจำเลยที่ 2 โจทก์มีสิทธินำยึดมาชำระหนี้ได้หรือไม่จึงเป็นการกำหนดประเด็นวินิจฉัยโดยไม่ชอบนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์มิได้ยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นสั่งว่าโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การดังนั้นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยจึงมีอยู่ตามคำร้องของ ผู้ร้อง ซึ่งอ้างว่าทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นของผู้ร้อง โดยได้มาจากการแบ่งปันสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 เมื่อหย่ากัน การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าทรัพย์สินที่ยึดเป็นของผู้ร้องหรือไม่ จึงขอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว
ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ข้อต่อมาที่ว่า แม้โจทก์มิได้ฟ้องผู้ร้องด้วยแต่ผู้ร้องก็ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 เพราะเป็นหนี้ที่จำเลยที่ 2 มิได้ทำเฉพาะตัวหากแต่เป็นการกระทำที่เกี่ยวข้องกับกิจการอันจำเป็นในครอบครัวเกี่ยวกับสินสมรสและเป็นหนี้ที่เกิดจากการงานที่จำเลยที่ 2 กับผู้ร้องทำด้วยกันในฐานะที่เป็นสามีภริยากันตามนัยมาตรา 1490 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โจทก์มีสิทธินำยึดทรัพย์รายนี้มาชำระหนี้ได้นั้น เห็นว่าเมื่อได้ความจากการวินิจฉัยในประเด็นแรกว่าคดีนี้มีประเด็นพิพาทเพียงข้อเดียวว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของผู้ร้องหรือไม่เท่านั้น ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงเป็นเรื่องนอกประเด็นตามคำร้อง อีกทั้งมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฎีกาในประเด็นข้อนี้
พิพากษายืน