คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3212/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีไม่มีข้อพิพาท ศาลอาจเรียกพยานมาสืบได้เองตามที่เห็นจำเป็น และวินิจฉัยชี้ขาดตามที่เห็นสมควรและยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 188(2) ทั้งศาลสามารถรับฟังพยานที่คู่ความมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานได้ ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) อีกทั้งเมื่อผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอถอนผู้จัดการมรดก ศาลชั้นต้นก็มิได้กำหนดให้ผู้ร้องทำคำคัดค้านในวันนัดไต่สวนคำร้อง ผู้ร้องแต่งตั้งทนายความมาศาลทุกนัดทั้งได้ถามค้านพยานที่ผู้คัดค้านนำเข้าสืบในการไต่สวนด้วยแม้ผู้ร้องจะไม่ได้ยื่นหรือแถลงขอให้ศาลจดคำคัดค้านไว้ แต่พฤติการณ์ที่ผู้ร้องแต่งตั้งทนายความมาศาลและถามค้านพยานผู้คัดค้านเช่นนี้ ก็ย่อมแสดงให้เห็นได้โดยปริยายว่า ผู้ร้องมีเจตนาคัดค้านคำร้องของผู้คัดค้านผู้ร้องเป็นผู้ที่จะถูกถอนอำนาจในการจัดการมรดก ศาลชั้นต้นจึงควรที่ไต่สวนฟังข้อเท็จจริงและเหตุผลต่าง ๆ จากผู้ร้องบ้าง เพื่อจะได้นำมาวินิจฉัยชี้ขาดได้ถูกต้องแท้จริงแห่งความยุติธรรม ดังนั้น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมควรให้โอกาสผู้ร้องเข้าเบิกความ

ย่อยาว

คดีนี้ เดิมศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งนายพิมาย ลางคุลเสนผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนายโตมร ลางคุลเสน ผู้ตาย ต่อมาผู้คัดค้านยื่นคำร้องว่าผู้คัดค้านเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายมณฑล ลางคุลเสน ทายาท 1 ใน 10 ของผู้ตาย นายมณฑลถึงแก่กรรมในปี 2528 ผู้คัดค้านเป็นทายาทเข้ารับมรดกแทนที่ของนายมณฑล และมีคุณสมบัติไม่ต้องห้ามที่จะเป็นผู้จัดการมรดกของนายโตมรผู้ตาย ผู้ร้องไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกยื่นต่อศาลภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ไม่จัดทำบัญชีชี้แจงรายละเอียดของการจัดการมรดกให้ทายาททราบ ได้มีการโอนทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทบางคน และจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์มรดกไปยังบุคคลภายนอก ทั้งมิได้แบ่งปันมรดกให้แก่ทายาทผู้มีสิทธิรวมทั้งผู้คัดค้านด้วย เป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย หากปล่อยให้ผู้ร้องดำเนินการต่อไปอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทายาทของผู้ตายได้ ขอให้มีคำสั่งถอนผู้ร้องออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย และตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายต่อไป
ผู้ร้องและทายาทอื่นไม่ยื่นคำคัดค้าน ในชั้นไต่สวนผู้ร้องขออ้างของตนเองเข้าเบิกความ แต่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของนายโตมร ลางคุลเสน ผู้ตาย ร่วมกับนายพิมายลางคุลเสน ผู้ร้องโดยให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย
ผู้ร้องและผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ถอนผู้ร้องออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ผู้ร้องฎีกาว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ผู้ร้องอ้างตนเองเข้าเบิกความนั้นชอบด้วยเหตุผลเพื่อความยุติธรรมหรือไม่ เห็นว่า แม้คดีนี้ผู้ร้องจะมิได้ยื่นคำแถลงคัดค้านคำร้องของผู้คัดค้าน มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานและมิใช่คดีขาดนัดยื่นคำให้การซึ่งผู้ร้องมีสิทธิจะอ้างตนเองเข้าเบิกความเป็นพยานตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคสอง ก็ตามแต่เป็นคดีไม่มีข้อพิพาท ที่ศาลอาจเรียกพยานมาสืบได้เองตามที่เห็นจำเป็น และวินิจฉัยชี้ขาดตามที่เห็นสมควรและยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 188(2) ทั้งศาลสามารถรับฟังพยานที่คู่ความมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานได้ ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) อีกทั้งเมื่อผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอถอนผู้จัดการมรดก ศาลชั้นต้นก็มิได้กำหนดให้ผู้ร้องทำคำคัดค้านในวันนัดไต่สวนคำร้อง ผู้ร้องก็แต่งตั้งทนายความมาศาลทุกนัด ทั้งได้ถามค้านพยานที่ผู้คัดค้านนำเข้าสืบในการไต่สวนด้วย แม้ผู้ร้องจะไม่ได้ยื่นหรือแถลงขอให้ศาลจดจำคัดค้านไว้ แต่พฤติการณ์ที่ผู้ร้องแต่งตั้งทนายความมาศาลและถามค้านพยานผู้คัดค้าน เช่นนี้ ก็ย่อมแสดงให้เห็นได้โดยปริยายว่า ผู้ร้องมีเจตนาคัดค้านคำร้องของผู้คัดค้านผู้ร้องเป็นผู้ที่จะถูกถอนอำนาจในการจัดการมรดก ศาลชั้นต้นจึงควรที่จะไต่สวนฟังข้อเท็จจริงและเหตุผลต่าง ๆ จากผู้ร้องบ้าง เพื่อจะได้นำมาวินิจฉัยชี้ขาดได้ถูกตอ้งแท้จริงแห่งความยุติธรรมผู้ร้องก็เพียงแต่ขออ้างตนเองเข้าเบิกความเป็นพยานเท่านั้นศาลฎีกาจึงเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมควรให้โอกาสผู้ร้องเข้าเบิกความ ที่ศาลล่างทั้งสองไม่ให้ผู้ร้องเข้าเบิกความนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษาให้ยกคำสั่งและคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองแล้วย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบตัวผู้ร้องเป็นพยาน และพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ต่อไป

Share