คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3463/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องในฐานะพี่ร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ตาย ยื่นคำร้องขอรับเงินที่จำเลยวางต่อศาลชั้นต้นทั้งสองครั้งเพื่อบรรเทาความเสียหายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลย มิได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 30 หรือยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 ทั้งเงินที่จำเลยวางต่อศาลชั้นต้นก็มิใช่มรดกของผู้ตาย กรณีจึงไม่ต้องพิจารณาว่าผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายซึ่งเป็นผู้เสียหาย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 หรือมีสิทธิเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุผู้ตายได้รับอันตรายแก่ชีวิตอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 หรือผู้ร้องเป็นทายาทของผู้ตายหรือไม่ เมื่อผู้ร้องเป็นพี่ร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ตาย ถือได้ว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอรับเงินที่จำเลยวางต่อศาลชั้นต้น

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ระหว่างพิจารณา จำเลยวางเงินต่อศาลชั้นต้นเป็นเงิน 50,000 บาท ให้แก่ผู้เสียหายเพื่อบรรเทาความเสียหายของผู้ตาย ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง โดยรอการลงโทษจำคุกจำเลยและคุมความประพฤติของจำเลยไว้ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษและคุมความประพฤติของจำเลย จำเลยฎีกา ระหว่างฎีกา จำเลยวางเงินต่อศาลชั้นต้นเป็นเงิน 150,000 บาท ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ญาติผู้ตายเพื่อบรรเทาความเสียหายให้แก่ญาติของผู้ตาย ศาลฎีกาพิพากษายืน ต่อมาหลังจากจำเลยได้รับการพักโทษ จำเลยยื่นคำร้องขอรับเงินที่วางต่อศาลชั้นต้น 200,000 บาท คืนจากศาล ศาลชั้นต้นยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ขอรับเงินคืน 150,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นเรียกโจทก์และจำเลยมาไต่สวนหาทายาทของผู้ตาย และสอบถามให้ได้ความก่อนว่ามีความประสงค์จะรับเงินชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 150,000 บาท หรือไม่
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ตายเป็นคนโสด นายพรชัยบิดาของผู้ตายถึงแก่ความตายไปแล้ว ส่วนนางอิ่มมารดาของผู้ตายหายสาบสูญไปกว่า 40 ปี แล้ว ผู้ตายมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 3 คน คือ ผู้ร้อง ผู้ตาย และนายนรินทร์ ผู้ร้องขอรับเงิน 200,000 บาท ที่จำเลยวางต่อศาล
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า ยังไม่ปรากฏหลักฐานทางทะเบียนว่านางอิ่มมารดาของผู้ตายถึงแก่ความตายไปแล้ว ต้องถือว่านางอิ่มมารดาของผู้ตายยังมีชีวิตอยู่และเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตาย ส่วนผู้ร้องพี่สาวและนายนรินทร์น้องชายของผู้ตายเป็นทายาทลำดับถัดลงมา ซึ่งยังไม่มีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย จึงยังไม่มีสิทธิที่จะรับเงินชดใช้ค่าเสียหายที่จำเลยวางไว้ต่อศาล ให้คืนเงินที่จำเลยวางไว้แก่จำเลยเมื่อคำสั่งนี้ถึงที่สุด
ผู้ร้องและนายนรินทร์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับเฉพาะอุทธรณ์ของผู้ร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ให้ศาลชั้นต้นมอบเงิน 200,000 บาท แก่ผู้ร้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องขอรับเงินที่จำเลยวางต่อศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องในฐานะพี่ร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ตายยื่นคำร้องขอรับเงินที่จำเลยวางต่อศาลชั้นต้นทั้งสองครั้งเพื่อบรรเทาความเสียหายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลย มิได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 30 หรือยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 ทั้งเงินที่จำเลยวางต่อศาลชั้นต้นก็มิใช่มรดกของผู้ตาย กรณีจึงไม่ต้องพิจารณาว่าผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายซึ่งเป็นผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 หรือมีสิทธิเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุผู้ตายได้รับอันตรายแก่ชีวิตอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 หรือผู้ร้องเป็นทายาทของผู้ตายหรือไม่ เมื่อผู้ร้องเป็นพี่ร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ตายถือได้ว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอรับเงินที่จำเลยวางต่อศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า ที่ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นมอบเงิน 200,000 บาท ที่จำเลยนำมาวางศาลชั้นต้นแก่ผู้ร้องชอบหรือไม่ เห็นว่า ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 20 มกราคม 2553 ว่า จำเลยขอให้การรับสารภาพ โดยจำเลยได้วางเงินต่อศาลเป็นเงิน 50,000 บาท ให้แก่ผู้ตาย เพื่อบรรเทาความเสียหายของผู้ตาย ทั้งจำเลยและญาติของจำเลยได้ไปงานศพของผู้ตาย ช่วยเหลือเงินในงานศพของผู้ตาย ซื้อพวงหรีดให้ในงานศพของผู้ตาย ขอศาลได้โปรดลงโทษจำเลยสถานเบา และระหว่างฎีกา จำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 17 ตุลาคม 2554 ว่า จำเลยมีความประสงค์ขอชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ญาติผู้ตาย เพื่อบรรเทาความเสียหายให้แก่ญาติผู้ตายเป็นเงินจำนวน 150,000 บาท โดยจำเลยได้วางเงินจำนวนดังกล่าวต่อศาลในวันนี้ แสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยวางเงินจำนวนดังกล่าว โดยมีเจตนาที่จะให้แก่ผู้ตายหรือญาติของผู้ตายเพื่อให้ศาลชั้นต้นและศาลฎีกาใช้ประกอบดุลพินิจในการลงโทษจำเลย ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลฎีกาก็นำเหตุที่จำเลยวางเงินต่อศาลชั้นต้น ในระหว่างพิจารณาและระหว่างฎีกาดังกล่าวมาใช้ประกอบดุลพินิจรอหรือไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยแล้ว เมื่อคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาโดยมีการดำเนินการตามคำร้องของจำเลยดังกล่าวแล้วและผู้ร้องประสงค์ที่จะรับเงินจำนวนดังกล่าว ผู้ร้องจึงมีสิทธิที่จะรับเงินจำนวนนั้นไปจากศาลชั้นต้นได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share