แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาเช่าซื้อฉบับพิพาทมีใจความว่า หากผู้เช่าซื้อผิดนัดการชำระราคาจนทำให้ฝ่ายผู้ให้เช่าต้องติดตามเพื่อเรียกเก็บเองและเสียค่าใช้จ่ายในการนี้ผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดชอบทั้งสิ้น และจะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปีของเงินจำนวนที่ผิดนัดนี้ ข้อตกลงดังกล่าวนี้เป็นข้อกำหนดเรื่องเบี้ยปรับในกรณีที่โจทก์ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตรงตามกำหนดเวลา จึงเป็นเงื่อนเวลาที่ตกลงกันไว้เพื่อประโยชน์ของผู้ให้เช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อย่อมสละประโยชน์นี้เสียได้โดยการแสดงเจตนาอย่างแจ้งชัดหรือโดยปริยาย
ผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อมาโดยตลอดตั้งแต่งวดแรก ทั้งการชำระเงินค่าเช่าซื้องวดสุดท้าย ก็ชำระเลยกำหนดระยะเวลางวดสุดท้ายประมาณ 7 เดือน ผู้ให้เช่าซื้อก็รับเงินดังกล่าวไว้ นอกจากนี้แม้ผู้เช่าซื้อจะชำระเงินไม่ตรงตามกำหนด ผู้ให้เช่าซื้อก็ไม่ได้หักดอกเบี้ยออกจากจำนวนเงินที่ผู้เช่าซื้อชำระในแต่ละงวดทั้งตามหนังสือที่ผู้ให้เช่าซื้อส่งคืนเช็คที่ชำระค่าเช่าซื้อ แต่เรียกเก็บเงินไม่ได้ ผู้ให้เช่าซื้อก็เพียงแต่ขอให้ผู้เช่าซื้อโอนเงินที่ค้างชำระให้เท่านั้น โดยไม่มีการทวงถามหรือกล่าวถึงเรื่องดอกเบี้ย พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ผู้ให้เช่าซื้อมิได้ถือเอากำหนดระยะเวลาในการชำระหนี้แต่ละงวดเป็นสาระสำคัญ จึงเป็นการสละประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เช่าซื้อ การที่ผู้เช่าซื้อชำระหนี้ไม่ตรงตามกำหนดเวลา จะถือว่าผู้เช่าซื้อตกเป็นผู้ผิดนัดหาได้ไม่ ผู้ให้เช่าซื้อจึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเพราะเหตุที่ผู้เช่าซื้อผิดนัด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2526 โจทก์เช่าซื้อรถยนต์จากจำเลยที่ 1 ราคา 700,000 บาท มีจำเลยที่ 2 เข้ารับสมอ้างทำกิจการร่วมกับจำเลยที่ 1 โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมโอนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองโอนรถยนต์คันที่เช่าซื้อให้โจทก์ หากไม่ดำเนินการขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ค้างชำระค่าเช่าซื้อ 28,507 บาท และดอกเบี้ย 38,812 บาท จึงไม่โอนรถยนต์ให้โจทก์ จำเลยที่ 2 มิได้มีกิจการร่วมกับจำเลยที่ 1 ขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อและดอกเบี้ยที่ค้างจำนวน 67,319 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2537 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่จำเลยที่ 1
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสามมิได้ถือกำหนดเวลาการชำระหนี้ในสัญญาโดยเคร่งครัดจึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากค่าเช่าซื้อที่โจทก์ชำระล่วงเวลาโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อครบตามสัญญาแล้ว และอัตราดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 1 คิดเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ตกเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2529 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 1 เมื่อชำระแล้วให้จำเลยที่ 1 โอนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-2498ร้อยเอ็ด 48 แก่โจทก์ หากไม่อาจทำได้หรือไม่ยอมปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ โดยในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 โอนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-2498 ร้อยเอ็ด 48 ให้แก่โจทก์ภายใน 15 วัน หากไม่ยอมไปจดทะเบียนภายในกำหนด ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และฟ้องแย้ง
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม2526 โจทก์เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกยี่ห้อฮีโน่แบบเอฟ เอ็ม 176 หมายเลขทะเบียน80-2498 ร้อยเอ็ด ราคา 700,000 บาท จากจำเลยที่ 1 ชำระเงินในวันทำสัญญา100,000 บาท ส่วนที่เหลือแบ่งชำระเป็น 24 งวด เป็นรายเดือนงวดละ 25,000 บาทกำหนดชำระงวดแรกวันที่ 10 มกราคม 2527 ปรากฏตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมายจ.3 โดยโจทก์สั่งจ่ายเป็นเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาชุมแพ ลงวันที่ล่วงหน้าหากเช็คฉบับใดเรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยที่ 1 จะแจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อให้โจทก์นำหรือส่งเงินไปชำระ รายละเอียดการชำระเงินค่างวดปรากฏตามการ์ดลูกหนี้เอกสารหมาย ล.2
คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์จะต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในการผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อให้แต่ละงวดตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 2 หรือไม่ ตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 2 มีใจความว่า หากผู้เช่าผิดนัดการชำระราคาจนทำให้ฝ่ายผู้ให้เช่าต้องติดตามเพื่อเรียกเก็บเองและเสียค่าใช้จ่ายในการนี้ผู้เช่าจะต้องรับผิดชอบทั้งสิ้น และจะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของเงินจำนวนที่ผิดนัดนี้ เห็นว่า ข้อตกลงดังกล่าวนี้เป็นข้อกำหนดเรื่องเบี้ยปรับในกรณีที่โจทก์ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตรงตามกำหนดเวลา จึงเป็นเงื่อนเวลาที่ตกลงกันไว้เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ย่อมสละประโยชน์นี้เสียได้ โดยการแสดงเจตนาอย่างแจ้งชัดหรือโดยปริยายตามพฤติการณ์ ข้อเท็จจริงคดีนี้ปรากฏว่าโจทก์ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อมาโดยตลอดตั้งแต่งวดแรก ทั้งการชำระเงินบางงวดก็ไม่เต็มตามจำนวนเช่น 5,000 บาทหรือ 15,000 บาท บ้างและตามสัญญาโจทก์จะต้องชำระค่าเช่าซื้องวดสุดท้ายวันที่ 10 ธันวาคม 2528 แต่โจทก์กลับชำระวันที่ 7 กรกฎาคม 2529 เลยกำหนดระยะเวลางวดสุดท้ายมาประมาณ 7 เดือน ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็รับเงินดังกล่าวไว้ รายละเอียดปรากฏตามการ์ดลูกหนี้เอกสารหมาย ล.2 นอกจากนี้ตามการ์ดลูกหนี้ดังกล่าวปรากฏว่าการชำระค่าเช่าซื้อครั้งที่ 1 ถึงที่ 10 แม้โจทก์จะชำระเงินไม่ตรงตามกำหนดจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้หักดอกเบี้ยออกจากจำนวนเงินที่โจทก์ชำระในแต่ละงวด จำเลยที่ 1 เพิ่งมาคิดดอกเบี้ยในงวดที่ 11 เป็นต้นไปโดยเขียนด้วยหมึกแตกต่างไปจาก 10 งวดแรก ซึ่งเป็นตัวพิมพ์ อาจเป็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้จัดทำขึ้นภายหลังที่เป็นคดีนี้กับโจทก์แล้ว นอกจากนี้ตามหนังสือที่จำเลยที่ 1 มีไปถึงโจทก์ส่งคืนเช็คที่เรียกเก็บเงินไม่ได้ตามเอกสารหมาย จ.5, จ.6 และ จ.10 มีข้อความแต่เพียงขอให้โจทก์โอนเงินที่ค้างชำระให้แก่จำเลยที่ 1 เท่านั้น ไม่มีการทวงถามหรือกล่าวถึงเรื่องดอกเบี้ย นางสาวศิริพร เศรษฐปิยานนท์ พยานจำเลยที่ 1 เองก็เบิกความตอบคำถามค้านว่า จำเลยที่ 1 ได้รับชำระเงินค่าเช่าซื้อทุกงวด หลังจากวันถึงกำหนด การชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 1 ถึงงวดที่ 10 แม้จะล่วงเลยกำหนดแต่จำเลยที่ 1 ก็ไม่คิดดอกเบี้ย พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มิได้ถือเอากำหนดระยะเวลาในการชำระหนี้แต่ละงวดเป็นสาระสำคัญเป็นการสละประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาที่เป็นประโยชน์ต่อจำเลยที่ 1 การที่โจทก์ชำระหนี้ไม่ตรงตามกำหนดเวลาจะถือว่าโจทก์ตกเป็นผู้ผิดนัดหาได้ไม่ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเพราะเหตุโจทก์ผิดนัด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนรถยนต์ให้โจทก์โดยไม่ต้องชำระดอกเบี้ยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน