คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 498/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนจับกุมจำเลยในคดีนี้ เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองร้อยเอ็ด พบการกระทำความผิดของ ม. และ บ. ก่อน จึงมีการขยายผลสืบสวนและมีการวางแผนให้ ม. และ บ. โทรศัพท์ไปสั่งซื้อเมทแอมเฟตามีนจากผู้ค้ายาเสพติดชาวลาว โดยมีการตกลงซื้อขายและนัดส่งมอบเมทแอมเฟตามีนกันที่สถานีขนส่งอำเภอเมืองร้อยเอ็ด แต่เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมนำกำลังไปดักซุ่มรอแล้วมีการนัดหมายเปลี่ยนสถานที่ส่งมอบเป็นสถานีขนส่งอำเภอโพนทอง เจ้าพนักงานตำรวจจึงติดตามไปจนกระทั่งสามารถติดตามจับกุมจำเลยพร้อมเมทแอมเฟตามีน 3,885 เม็ด ของกลาง ได้ที่สถานีขนส่งอำเภอโพนทอง กรณีจึงเป็นความผิดต่อเนื่องและกระทำต่อเนื่องเกี่ยวพันกันทั้งในท้องที่สถานีตำรวจภูธรเมืองร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นท้องที่ที่ บ. โทรศัพท์ติดต่อล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนและสถานีตำรวจภูธรโพนทองซึ่งเป็นท้องที่ที่จับกุมจำเลยได้ เช่นนี้ พนักงานสอบสวนในท้องที่ใดท้องที่หนึ่งที่เกี่ยวข้องจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองร้อยเอ็ดจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 19 (3) การสอบสวนย่อมเป็นไปโดยชอบ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 120

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยไว้ระหว่างอุทธรณ์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุกว่าสิบห้าปีแต่ต่ำกว่าสิบแปดปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ประกอบมาตรา 53 (ที่ถูก มาตรา 18 วรรคหนึ่ง) คงจำคุก 25 ปี และปรับ 500,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 12 ปี 6 เดือน และปรับ 250,000 บาท อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 142 (1), 145 ให้เปลี่ยนโทษจำคุกจำเลยเป็นส่งจำเลยไปฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 4 จังหวัดขอนแก่น มีกำหนดขั้นต่ำ 3 ปี ขั้นสูง 4 ปี นับแต่วันพิพากษา หากไม่ชำระค่าปรับให้จำเลยฝึกอบรมต่อ 6 เดือน โดยให้หักระยะเวลาที่จำเลยถูกควบคุมก่อนศาลมีคำพิพากษาด้วยริบของกลาง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2558 ร้อยตำรวจเอกสมโภชน์ เจ้าพนักงานตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด สถานีตำรวจภูธรเมืองร้อยเอ็ดกับพวกร่วมกันจับกุมตัวนายมานิต และนายบัญญัติ ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จากการสืบสวนขยายผลการจับกุม นายมานิตและนายบัญญัติให้การว่าสามารถติดต่อล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากเจ้าของเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นคนสัญชาติลาวและสามารถติดต่อล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนได้ จำนวน 2 มัด หรือ 4,000 เม็ด โดยนัดหมายจะส่งมอบเมทแอมเฟตามีนในวันที่ 18 มีนาคม 2558 ต่อมาเมื่อถึงวันนัด เวลาประมาณ 17 นาฬิกา จำเลยโทรศัพท์มาหานายบัญญัติบอกว่าจะนำเมทแอมเฟตามีนมาส่งมอบให้ที่สถานีขนส่งอำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด ร้อยตำรวจเอกสมโภชน์กับพวกซึ่งเป็นชุดจับกุมไปดักซุ่มรอ แต่จำเลยไม่มาตามนัด สักครู่หนึ่งจำเลยโทรศัพท์มาบอกนายบัญญัติว่าให้ไปรับเมทแอมเฟตามีนที่สถานีขนส่งอำเภอโพนทอง ร้อยตำรวจเอกสมโภชน์กับพวกจึงเดินทางไปสถานีขนส่งอำเภอโพนทอง ไปถึงเวลาประมาณ 17.20 นาฬิกา จำเลยโทรศัพท์มาบอกนายบัญญัติว่าถึงแล้ว ยืนอยู่ด้านหลังสถานีขนส่งอำเภอโพนทองด้านทิศตะวันตก ร้อยตำรวจเอกสมโภชน์กับพวกจึงเข้าแสดงตนและขอตรวจค้นจำเลย พบเมทแอมเฟตามีน 2 มัด จำนวน 3,885 เม็ด ซุกซ่อนไว้ที่กระเป๋าสีชมพูของจำเลย และพบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง จำเลยรับว่าเดินทางมาส่งเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 มัด ดังกล่าว ร้อยตำรวจเอกสมโภชน์กับพวกจึงร่วมกันจับกุมจำเลยพร้อมเมทแอมเฟตามีน จำนวน 3,885 เม็ด และโทรศัพท์เคลื่อนที่ จำนวน 1 เครื่อง ของกลาง ส่งมอบให้ร้อยตำรวจโทชัยสิงห์ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองร้อยเอ็ดดำเนินการสอบสวน เมื่อร้อยตำรวจโทชัยสิงห์ดำเนินการสอบสวนเสร็จแล้ว จึงสรุปสำนวนการสอบสวนโดยมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาส่งให้โจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาล
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า จำเลยถูกจับกุมในอำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในคดีนี้จึงเป็นพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรโพนทอง การที่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองร้อยเอ็ดเป็นผู้สอบสวนรวมทั้งสรุปสำนวนการสอบสวน พร้อมทั้งเสนอความเห็นควรสั่งฟ้องจำเลยต่อพนักงานอัยการ เป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า ก่อนจับกุมจำเลยในคดีนี้ เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองร้อยเอ็ด พบการกระทำความผิดของนายมานิตและนายบัญญัติก่อน จึงมีการขยายผลสืบสวนและมีการวางแผนให้นายมานิตและนายบัญญัติโทรศัพท์ไปสั่งซื้อเมทแอมเฟตามีนจากผู้ค้ายาเสพติดชาวลาว โดยมีการตกลงซื้อขายและนัดส่งมอบเมทแอมเฟตามีนกันที่สถานีขนส่งอำเภอเมืองร้อยเอ็ด แต่เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมนำกำลังไปดักซุ่มรอแล้วมีการนัดหมายเปลี่ยนสถานที่ส่งมอบเป็นสถานีขนส่งอำเภอโพนทอง เจ้าพนักงานตำรวจจึงติดตามไป จนกระทั่งสามารถติดตามจับกุมจำเลยพร้อมเมทแอมเฟตามีน 3,885 เม็ด ของกลาง ได้ที่สถานีขนส่งอำเภอโพนทอง กรณีจึงเป็นความผิดต่อเนื่องและกระทำต่อเนื่องเกี่ยวพันกันทั้งในท้องที่สถานีตำรวจภูธรเมืองร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นท้องที่ที่นายบัญญัติโทรศัพท์ติดต่อล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนและสถานีตำรวจภูธรโพนทอง ซึ่งเป็นท้องที่ที่จับกุมจำเลยได้ เช่นนี้ พนักงานสอบสวนในท้องที่ใดท้องที่หนึ่งที่เกี่ยวข้องจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองร้อยเอ็ดจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19 (3) การสอบสวนย่อมเป็นไปโดยชอบ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น เมื่อวินิจฉัยเช่นนี้แล้วฎีกาข้ออื่นของจำเลยจึงไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน

Share