คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5478/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อจำหน่ายทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหน้าที่ต้องปฏิบัติสองขั้นตอน คือ การจัดทำบัญชีแสดงรายการรับ-จ่าย และการจ่ายเงินตามบัญชีแสดงรายการรับ-จ่าย โดยเมื่อจัดทำบัญชีแสดงรายการรับ-จ่ายเสร็จแล้ว ก็ต้องดำเนินการให้มีการจ่ายเงินตามบัญชีนั้นต่อไป ดังนี้การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำบัญชีแสดงรายการรับ-จ่ายแล้วยังมิได้มีคำสั่งหรือการดำเนินการใดเพื่อให้มีการจ่ายเงินส่วนที่เหลือให้แก่จำเลย เงินส่วนที่เหลือจึงไม่เป็นเงินค้างจ่ายอยู่ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีที่ผู้มีสิทธิต้องเรียกเอาภายในห้าปีและไม่ตกเป็นของแผ่นดิน เมื่อจำเลยเรียกเอาเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหน้าที่จ่ายเงินจำนวนนี้ให้แก่จำเลย ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ขึ้นมา ศาลฎีกาเห็นสมควรย่อมหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์โจทก์จึงบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 17944 ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ของจำเลยออกขายทอดตลาดได้เงินทั้งสิ้น 360,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีได้จัดทำบัญชีแสดงรายการรับ-จ่ายเงินแก่โจทก์ ให้โจทก์รับรองความถูกต้องของบัญชีและโจทก์ได้รับเงินจากเจ้าพนักงานบังคับคดีไปแล้วเมื่อวันที่ 2 และวันที่ 7 กันยายน 2535ตามลำดับ คงมีเงินเหลือคืนจำเลย 233,468.03 บาท จำเลยยื่นคำแถลงขอรับเงินดังกล่าวจากเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2542เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งว่า เป็นเงินค้างจ่ายเกิน 5 ปี แล้วไม่อาจขอคืนได้ยกคำแถลง

จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีต่อศาลชั้นต้นศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง

จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาสมควรวินิจฉัยก่อนว่า เงินที่ได้จากการจำหน่ายทรัพย์ของจำเลยที่เหลือจ่ายคืนแก่จำเลยเป็นเงินค้างจ่ายที่จำเลยต้องเรียกเอาภายในห้าปีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 323 หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า การจ่ายเงินที่ได้จากการจำหน่ายทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 316 กำหนดให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชีรายละเอียดแสดงจำนวนเงินทั้งหมดที่ได้มาจากการจำหน่ายทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อจัดสรรหรือแบ่งเฉลี่ยเงินแก่ผู้มีสิทธิและตามมาตรา 318 ในกรณีมีเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเพียงคนเดียวขอร้องให้บังคับคดีเมื่อได้หักค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดีไว้แล้วให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินตามจำนวนหนี้และค่าฤชาธรรมเนียมในการฟ้องร้องแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเท่าที่เงินรายได้จำนวนสุทธิจะพอจ่ายให้ได้ และหากมีเงินเหลืออยู่ภายหลังที่ได้หักชำระค่าฤชาธรรมเนียมและจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ทุกคนเป็นที่พอใจแล้ว มาตรา 322 วรรคสอง กำหนดให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินรายได้ส่วนที่เหลือนั้นให้แก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจึงเห็นได้ว่าเมื่อมีการจำหน่ายทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว มีขั้นตอนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหน้าที่ต้องปฏิบัติสองขั้นตอน คือ การจัดทำบัญชีแสดงรายการรับ-จ่ายขั้นตอนหนึ่ง และการจ่ายเงินตามบัญชีแสดงรายการรับ-จ่ายอีกขั้นตอนหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดทำบัญชีแสดงรายการรับ-จ่ายเสร็จแล้ว ก็ต้องดำเนินการให้มีการจ่ายเงินตามบัญชีนั้นต่อไปแต่คดีนี้หลังจากเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดทำบัญชีแสดงรายการรับ-จ่ายแล้วปรากฏว่ายังมิได้มีคำสั่งหรือการดำเนินการใดเพื่อให้มีการจ่ายเงินส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยซึ่งเมื่อยังมีขั้นตอนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องปฏิบัติอีกเงินส่วนที่เหลือนี้จึงยังไม่เป็นเงินค้างจ่ายอยู่ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีที่ผู้มีสิทธิต้องเรียกเอาเสียภายในห้าปีตามมาตรา 323 เงินดังกล่าวจึงยังไม่ตกเป็นของแผ่นดิน และเมื่อจำเลยได้เรียกเอาแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงมีหน้าที่จ่ายเงินจำนวนนี้ให้แก่จำเลย ปัญหาดังกล่าวนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ขึ้นมา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัย และเมื่อได้วินิจฉัยในปัญหานี้แล้ว คดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยในปัญหาว่า ระยะเวลาห้าปีตามมาตรา 323เริ่มนับตั้งแต่วันที่จำเลยมีสิทธิหรือตั้งแต่วันที่จำเลยรู้ว่ามีสิทธิตามที่จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งต่อไป”

พิพากษากลับ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินจำนวน 233,468.03 บาทแก่จำเลย

Share