คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4979/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ในชั้นสอบสวนผู้เสียหายในคดีปล้นทรัพย์จะให้การแตกต่างจากคำเบิกความของผู้เสียหายในชั้นพิจารณาไปบ้างแต่ในชั้นสอบสวนผู้เสียหายก็ให้การยืนยันว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยกับชายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนร้ายยืนคุมผู้เสียหายอยู่ในบ้านเกิดเหตุขณะที่คนร้ายอีกคนหนึ่งใช้ผ้ามัดมือของผู้เสียหายไว้ คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายนี้ได้ให้การในวันเกิดเหตุนั้นเอง ได้กล่าวไว้อย่างละเอียดเป็นขั้นเป็นตอนในการที่ถูกคนร้ายร่วมกันปล้นทรัพย์และใช้อาวุธปืนยิงจนผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย ยากที่ผู้เสียหายจะปรุงแต่งเรื่องขึ้นมาเองเพื่อปรักปรำหรือแกล้งใส่ร้ายจำเลย คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายนี้จึงรับฟังเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความในชั้นพิจารณาได้เพราะผู้เสียหายเบิกความภายหลังเกิดเหตุเป็นเวลานานเกินสิบปี ผู้เสียหายคงไม่อาจจดจำรายละเอียดและเหตุการณ์ในการที่ คนร้ายร่วมกระทำผิดได้ครบถ้วนดังเช่นที่ให้การไว้ในชั้นสอบสวน ในวันเกิดเหตุนั้นเป็นแน่ แม้คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายเป็นเพียงพยานบอกเล่า แต่ก็ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังเสียเลย การที่จะรับฟังพยานบอกเล่าได้หรือไม่ เพียงใด ย่อมสุดแล้วแต่เหตุผลเป็นเรื่อง ๆ ไป โดยรับฟังได้ในฐานะพยานประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ คดีนี้โจทก์มีผู้เสียหายมาเบิกความและมีคำให้การรับสารภาพของ จ. และ ส. ในชั้นสอบสวนซัดทอดจำเลยซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีเดียวกันว่า ในการร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหายนี้ จำเลยเป็นผู้ชักชวน จ. และ ส.ไปด้วยกันซึ่ง จ. และ ส. ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนทันทีในวันที่ จ. และ ส. ถูกจับกุม และเป็นการยากที่ จ.และ ส. จะปรุงแต่งขึ้นเพื่อต่อสู้คดีหรือปรักปรำจำเลยจ. กับ ส. ได้ให้การชั้นสอบสวนตามความเป็นจริงโดยสมัครใจ คำให้การชั้นสอบสวนของผู้กระทำผิดด้วยกันดังกล่าวก็ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายห้ามมิให้ศาลรับฟัง ย่อมนำมารับฟังประกอบคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายได้ นอกจากนั้นโจทก์ยังมีเจ้าพนักงานตำรวจผู้สอบสวน จ. และ ส.มาเบิกความสนับสนุนว่า ชั้นสอบสวน จ. และ ส.ให้การรับสารภาพและยังได้นำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมจำเลยก็ให้การรับสารภาพ เช่นนี้เมื่อฟังคำเบิกความของผู้เสียหายในชั้นพิจารณา คำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวนประกอบคำให้การรับสารภาพของ จ.และ ส. ในชั้นสอบสวน กับคำเบิกความของเจ้าพนักงานตำรวจตลอดจนคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมดังกล่าวแล้วเชื่อได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้ร่วมกับพวกอีกสองคนปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายตามฟ้องไปจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 ตรี, 288, 289, 80, 83 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2541 ข้อ 14, 15 ขอให้จำเลยร่วมคืนสร้อยคอทองคำและจี้ทับทิมหรือใช้เงินจำนวน 5,300 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคสี่ ลงโทษจำคุก 18 ปี ให้จำเลยร่วมคืนสร้อยคำทองคำและจี้ทับทิมหรือใช้เงินจำนวน 5,300 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง คนร้ายได้ร่วมกันปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายตามฟ้องไปและคนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า จำเลยเป็นคนร้ายร่วมกับจำเลยทั้งสองในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2653/2535 ของศาลชั้นต้น กระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ตามฟ้องหรือไม่ คดีนี้โจทก์มีนางนิตยา ผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้เสียหายกับชายอีกสองคนมานั่งอยู่หน้าร้านของผู้เสียหาย จำเลยว่าพาชายสองคนมาสมัครงาน แต่ผู้เสียหายปฏิเสธเมื่อผู้เสียหายเข้าไปในร้านและเข้าห้องน้ำ ผู้เสียหายเปิดประตูห้องน้ำออก ปรากฏว่าชายสองคนดังกล่าวใช้อาวุธปืนจี้ที่แขนแล้วบังคับผู้เสียหายให้ถอดทรัพย์สิน ผู้เสียหายล้วงกระเป๋าได้เงินสด 900 บาท พร้อมกับถอดสร้อยคอทองคำ 1 เส้น และจี้ทับทิม 1 อัน ส่งให้ชายทั้งสองไป แล้วชายทั้งสองก็ว่าอย่าไปแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจ มิฉะนั้นจะยิง แต่ก็เหนี่ยวไกปืนยิง 1 นัด กระสุนปืนถูกที่แขนซ้ายของผู้เสียหาย หลังจากนั้นจำเลยก็วิ่งเข้ามาในบ้าน พูดว่าไปยิงทำไมเดี๋ยวเจ้าพนักงานตำรวจก็มาจับ จำเลยพูดขอกุญแจรถจากผู้เสียหายอ้างว่าจะพาชายทั้งสองออกไป ผู้เสียหายก็ยินยอม แต่ผู้เสียหายได้ให้การในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.10 ยืนยันว่า ตอนที่ผู้เสียหายเข้าห้องน้ำชายคนหนึ่งในจำนวนสองคนที่จำเลยพามา ได้ผลักประตูห้องน้ำเข้ามาและถืออาวุธปืนจี้ผู้เสียหาย แล้วว่า “เอาสตางค์ออกมา”เมื่อผู้เสียหายหยิบเงินสดในกระเป๋าเสื้อและถอดสร้อยคอทองคำจากคอที่สวมอยู่ส่งให้ชายดังกล่าว ชายดังกล่าวเอาผ้ามัดมือของผู้เสียหายไว้ในบ้าน และพูดขู่ไม่ให้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจระหว่างนั้นจำเลยกับชายอีกคนหนึ่งก็ยืนคุมผู้เสียหายอยู่ในบ้านจำเลยขอกุญแจรถยนต์ปิกอัพจากผู้เสียหายเพื่อจะพาชายทั้งสองไปส่งผู้เสียหายเกรงว่าจะถูกทำร้ายจึงมอบกุญแจรถให้จำเลยไป เห็นว่าแม้ในชั้นสอบสวนผู้เสียหายจะให้การตามเอกสารหมาย จ.10แตกต่างจากคำเบิกความของผู้เสียหายในชั้นพิจารณาไปบ้างแต่ในขณะเกิดเหตุผู้เสียหายก็ยังให้การยืนยันว่าจำเลยกับชายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนร้ายยืนคุมผู้เสียหายอยู่ในบ้านเกิดเหตุขณะที่คนร้ายอีกคนหนึ่งใช้ผ้ามัดมือของผู้เสียหายไว้ คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายนี้ได้ให้การในวันเกิดเหตุนั้นเองได้กล่าวไว้อย่างละเอียดเป็นขั้นเป็นตอนในการที่ถูกคนร้ายร่วมกันปล้นทรัพย์และใช้อาวุธปืนยิงจนผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย ยากที่ผู้เสียหายจะปรุงแต่งเรื่องขึ้นมาเองเพื่อปรักปรำหรือแกล้งใส่ร้ายจำเลย คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายนี้น่าจะเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความในชั้นพิจารณาเพราะผู้เสียหายเบิกความภายหลังเกิดเหตุเป็นเวลานานเกินสิบปีผู้เสียหายคงไม่อาจจดจำรายละเอียดและเหตุการณ์ในการที่คนร้ายร่วมกระทำผิดได้ครบถ้วน ดังเช่นที่ให้การไว้ในชั้นสอบสวนในวันเกิดเหตุนั้นเป็นแน่ แม้คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายนี้เป็นเพียงพยานบอกเล่า แต่ก็ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังเสียเลยการที่จะรับฟังพยานบอกเล่าได้หรือไม่เพียงใด ย่อมสุดแล้วแต่เหตุผลเป็นเรื่อง ๆ ไป โดยรับฟังได้ในฐานะพยานประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์คือ คำให้การรับสารภาพของนายจรูญและนายสุชาติ ในชั้นสอบสวนซัดทอดจำเลยซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีเดียวกันตามคำให้การชั้นสอบสวน โดยให้การรับสารภาพทำนองเดียวกันว่า ในการร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหายนี้ จำเลยเป็นผู้ชักชวนนายจรูญและนายสุชาติไปด้วยกัน เนื่องจากผู้เสียหายเป็นนายจ้างของจำเลย และผู้เสียหายมีเงินมาก โดยจำเลยเป็นผู้จัดหาอาวุธปืนพกสั้นขนาด .22 ไม่มีหมายเลขทะเบียนกระสุนปืนจำนวน 2 นัด ติดตัวไป และตอนที่ผู้เสียหายเข้าห้องน้ำจำเลยก็ส่งอาวุธปืนให้นายจรูญวิ่งเข้าไปในห้องน้ำและใช้อาวุธปืนจี้ผู้เสียหายให้ส่งเงินให้ และนายจรูญได้ใช้อาวุธปืนยิงถูกที่แขนซ้ายของผู้เสียหาย หลังจากนั้นจำเลยได้ขอกุญแจรถยนต์ปิกอัพจากผู้เสียหายแล้วจำเลยขับรถพานายจรูญและนายสุชาติหลบหนีไปคำให้การรับสารภาพของนายจรูญกับนายสุชาติ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีเดียวกันกับจำเลยดังกล่าวได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนทันทีในวันที่นายจรูญและนายสุชาติถูกจับกุม เป็นการยากที่นายจรูญและนายสุชาติจะปรุงแต่งขึ้นเพื่อต่อสู้คดีหรือปรักปรำจำเลยแต่อย่างใด ทั้งคำให้การนี้ก็ไม่ปรากฏว่าได้เกิดจากการจูงใจมีคำมั่นสัญญาหรือขู่เข็ญหลอกลวงจากพนักงานสอบสวนเชื่อได้ว่าได้ให้การตามความเป็นจริงโดยสมัครใจ และคำให้การชั้นสอบสวนของผู้กระทำผิดด้วยกันดังกล่าว ก็ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายห้ามมิให้ศาลรับฟังแต่อย่างใด คำให้การของนายจรูญและนายสุชาติในชั้นสอบสวนย่อมนำมารับฟังประกอบคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายได้ นอกจากนั้นโจทก์ยังมีพันตำรวจโทวิชัย พันธุมะผล และพันตำรวจตรีโยธิน ผูกเกษรเจ้าพนักงานตำรวจผู้สอบสวนนายจรูญและนายสุชาติ ตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวน เอกสารหมาย ป.จ.1 หรือ จ.8 และ ป.จ.5หรือ จ.5 ตามลำดับมาเบิกความสนับสนุนว่า ชั้นสอบสวนนายจรูญและนายสุชาติให้การรับสารภาพ และยังได้นำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำให้การรับสารภาพ อีกทั้งในชั้นจับกุมจำเลยก็ให้การรับสารภาพเช่นนี้ เมื่อฟังคำเบิกความของผู้เสียหายคำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวนประกอบคำให้การรับสารภาพของนายจรูญและนายสุชาติในชั้นสอบสวนกับคำเบิกความของพันตำรวจโทวิชัย พันตำรวจตรีโยธิน เจ้าพนักงานตำรวจตลอดจนคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมดังกล่าวแล้ว เชื่อได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้ร่วมกันพวกอีกคนปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายตามฟ้องไปจริงที่จำเลยนำสืบและอ้างว่าจำเลยไม่ได้ร่วมกระทำผิดด้วย ตอนที่จำเลยถูกคุมตัวอยู่ได้พูดว่า”ทำไมทำกับเขาอย่างนั้น” นายสุชาติพูดกับจำเลยว่า “มึงไม่เกี่ยว”นายจรูญยังหันอาวุธปืนมาทางจำเลยก็ดี ในระหว่างที่จำเลยได้ยินเสียงปืน จำเลยไม่เห็น แต่ร้องห้ามไม่ให้ยิง และตอนที่นายจรูญเอากุญแจรถมาจากผู้เสียหายแล้วได้บังคับให้จำเลยช่วยขับรถพานายจรูญและนายสุชาติหลบหนีก็ดี เป็นการเบิกความลอย ๆ ขัดกับเหตุผล ทั้งไม่มีพยานหลักฐานอื่นมานำสืบให้น่าเชื่อถือเช่นนั้น จึงไม่มีน้ำหนักให้พอรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกับจำเลยทั้งสองในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2653/2535 ของศาลชั้นต้น ปล้นทรัพย์ผู้เสียหายตามฟ้องโดยใช้ปืนยิง แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ลดโทษให้จำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะตามคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมดังกล่าวเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างกรณีมีเหตุบรรเทาโทษ สมควรลดโทษให้จำเลยได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดโทษของจำเลยหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุก 13 ปี 6 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share