คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6496/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายกับจำเลยต่างมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนทั้งก่อนเกิดเหตุคดีนี้เล็กน้อยผู้เสียหายกับจำเลยก็ยังมีปากเสียงโต้เถียงกัน ต่อมาเมื่อผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ตามไปทันมารดาผู้เสียหาย จำเลยเดินเข้าไปหาผู้เสียหายแล้วจำเลยซักอาวุธปืนสั้นซึ่งยังใส่อยู่ในซองปืนออกจากเอวเล็งไปทางผู้เสียหายขณะอยู่ห่างกันประมาณ 2 เมตร ทั้งจำเลยยังพูดอีกด้วยว่า “มึงจะลองกับกูหรือมึงอยากตายหรือไง”ลักษณะกิริยาอาการตลอดจนคำพูดของจำเลยแสดงแจ้งชัดอยู่ในตัวว่า จำเลยใช้อาวุธปืนขู่เข็ญผู้เสียหาย การที่จำเลยใช้อาวุธปืน ซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงใช้ประหัตประหาร แม้จะยังอยู่ในซองปืน กระทำการดังกล่าวแล้วตามวิสัยวิญญูชนผู้ตกอยู่ในภาวะ อันมิได้คาดคิดมาก่อน ย่อมจะต้องตกใจกลัว ผู้เสียหาย ซึ่งประสบเหตุการณ์เช่นนี้ก็มิได้พูดอะไรกับจำเลย ทั้งที่ ก่อนหน้านั้นยังโต้เถียงกับจำเลย แต่ผู้เสียหายกลับขับรถจักรยานยนต์ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจทันทีแสดงว่าผู้เสียหายกลัวภัยที่จะเกิดขึ้นแก่ตนแล้ว ตามวิสัย ปุถุชนทั่วไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 392 การที่จำเลยพาอาวุธปืนติดตัวอยู่ในที่ดินซึ่งตนมีส่วน เป็นเจ้าของอยู่ด้วย หาใช่เป็นการพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านดังที่พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ,72 ทวิ ประสงค์ให้เป็นความผิดไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2539 เวลากลางวันจำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยมีอาวุธปืนสั้นไม่ทราบชนิด ขนาด และไม่ปรากฏชัดว่ามีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานหรือไม่ อันเป็นอาวุธปืนตามกฎหมาย สามารถใช้ยิงได้ไว้ในครอบครองโดยจำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายและจำเลยพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในหมู่บ้านหมู่ที่ 6 ตำบลปากแจ่ม อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง โดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ทั้งไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ และไม่ได้รับยกเว้นตามกฎหมายแล้วจำเลยทำให้นายจักรี ใยอุ่น ผู้เสียหายเกิดความกลัวและความตกใจโดยจำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวขู่เข็ญว่าจะยิงผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 392
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง,72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 392 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปีและปรับ 5,000 บาท ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน และปรับ 4,000 บาทและฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญจำคุก 1 เดือน และปรับ 1,000 บาท รวม 1 ปี 7 เดือนและปรับ 10,000 บาท เห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีจึงรอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือน ต่อครั้ง เป็นเวลา 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 392 กับลดโทษให้จำเลยสำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลย 9 เดือนและปรับ 3,750 บาท โดยให้รอการลงโทษจำคุก และคุมความประพฤติของจำเลยไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษด้วยหรือไม่ โจทก์มีนายจักรี ใยอุ่น ผู้เสียหายและนางนอบ ใยอุ่น มารดาผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า จำเลยตามไปพบผู้เสียหายที่บ้านมารดาผู้เสียหายและพูดประชดผู้เสียหายในทำนองให้ผู้เสียหายไปฟันต้นยางพาราของจำเลยอีก เนื่องจากก่อนหน้านั้นจำเลยเคยกล่าวหาว่าผู้เสียหายไปฟันต้นยางพาราของจำเลย ทำให้ผู้เสียหายกับจำเลยโต้เถียงกันแล้วจำเลยเดินกลับไปที่สวนยางพาราของนายฉาย เที่ยงธรรม สามีจำเลย ซึ่งอยู่ติดกับบ้านมารดาผู้เสียหายมารดาผู้เสียหายได้เดินตามหลังจำเลยเพื่อจะไปบอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้สามีจำเลยทราบมารดาผู้เสียหายเดินไปยังสวนยางพาราของสามีจำเลย ผู้เสียหายก็ขับรถจักรยานยนต์ตามไปเพื่อจะพามารดาผู้เสียหายไปพบสามีจำเลย ครั้นผู้เสียหายขับรถตามไปทันมารดาผู้เสียหาย เวลาเดียวกันจำเลยก็เดินเข้าไปหาผู้เสียหายแล้วชักอาวุธปืนสั้นซึ่งยังใส่อยู่ในซองปืนออกจากเอวเล็งไปทางผู้เสียหายขณะอยู่ห่างกันประมาณ 2 เมตร จำเลยพูดว่า”มึงจะลองกับกูหรือ มึงอยากตายหรือไง” โดยพูดซ้ำอยู่ 2 ถึง3 ครั้ง ผู้เสียหายจึงขับรถดังกล่าวไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้เสียหายกับจำเลยต่างมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน ทั้งก่อนเกิดเหตุคดีนี้เล็กน้อยผู้เสียหายกับจำเลยก็ยังมีปากเสียงโต้เถียงกันต่อมาเมื่อผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ตามไปทันมารดาผู้เสียหายซึ่งเดินจะไปบอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้สามีจำเลยทราบ เวลาเดียวกันจำเลยเดินเข้าไปหาผู้เสียหาย แล้วจำเลยชักอาวุธปืนสั้นซึ่งยังใส่อยู่ในซองปืนออกจากเอวเล็งไปทางผู้เสียหายขณะอยู่ห่างกันประมาณ 2 เมตร ทั้งจำเลยยังพูดอีกด้วยว่า”มึงจะลองกับกูหรือ มึงอยากตายหรือไง” ลักษณะกิริยาอาการตลอดจนคำพูดของจำเลยแสดงแจ้งชัดอยู่ในตัวว่าจำเลยใช้อาวุธปืนขู่เข็ญผู้เสียหาย การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงใช้ประหัตประหาร แม้จะยังอยู่ในซองปืน กระทำการดังกล่าวแล้วตามวิสัยวิญญูชนผู้ตกอยู่ในภาวะอันมิได้คาดคิดมาก่อนย่อมจะต้องตกใจกลัว ผู้เสียหายซึ่งประสบเหตุการณ์เช่นนี้ก็มิได้พูดอะไรกับจำเลย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังโต้เถียงกับจำเลยแต่ผู้เสียหายกลับขับรถจักรยานยนต์ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจทันที แสดงว่าผู้เสียหายกลัวภัยที่จะเกิดขึ้นแก่ตน แล้วตามวิสัยปุถุชนทั่วไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 392 ข้อหาฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญดังคำพิพากษาศาลชั้นต้น
มีปัญหาต่อไปว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า มารดาผู้เสียหายเดินไปยังสวนยางพาราของสามีจำเลยซึ่งอยู่ติดกัน ผู้เสียหายได้ขับรถจักรยานยนต์ตามไปทัน เวลาเดียวกันจำเลยเดินเข้าไปหาผู้เสียหาย แล้วชักอาวุธปืนสั้นซึ่งยังใส่อยู่ในซองปืนเล็งไปที่ผู้เสียหายดังกล่าวไว้แล้วข้างต้น แต่โจทก์มิได้นำสืบพิสูจน์ให้แน่ชัดว่าสถานที่ที่จำเลยชักอาวุธปืนออกมาอยู่ ณ ที่ใดบริเวณนั้นเป็นที่ดินของมารดาผู้เสียหายหรือที่ดินของสามีจำเลยอันจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ด้วย คดีคงได้ความตามคำเบิกความของร้อยตำรวจโทเอกสิทธิ์ ปิ่นแก้ว พนักงานสอบสวนว่าเหตุเกิดในสวนยางพารา หมู่ที่ 6 ประกอบกับจำเลยนำสืบต่อสู้ว่าจำเลยไปที่บ้านผู้เสียหาย แต่พูดกันไม่รู้เรื่อง จำเลยจึงกลับมาที่สวนยางพาราอีก ผู้เสียหายขับรถตามมาจะตบจำเลยแสดงว่าจำเลยกลับเข้าไปในสวนยางพาราของสามีจำเลยแล้วดังนั้น การที่จำเลยพาอาวุธปืนติดตัวอยู่ในที่ดินซึ่งตนมีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ด้วย หาใช่เป็นการพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านดังที่กฎหมายประสงค์ให้เป็นความผิดไม่การกระทำของจำเลยดังกล่าวแล้วไม่เป็นความผิดในข้อหานี้ดังฎีกาของโจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 392 ด้วย ให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อรวมกับโทษฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 แล้วรวมจำคุก 10 เดือนและปรับ 4,750 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกและคุมความประพฤติของจำเลยตลอดจนบังคับค่าปรับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share