คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 495/2504

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จะนำเช็คมาเป็นมูลฟ้องในเรื่องกู้ยืมเงินเพื่อขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินไป ๔๓,๐๐๐ บาท ได้ออกเช็คธนาคารไทยทนุไว้ให้ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เพราะจำเลยไม่มีเงินพอในบัญชี โจทก์ได้ร้องทุกข์ต่อตำรวจแล้ว จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวไม่สามารถชำระได้ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า ไม่เคยกู้เงินโจทก์ ไม่เคยออกเช็คตามฟ้อง เช็คขาดอายุความแล้ว หนี้ไม่แน่นอน โจทก์บวกดอกเบี้ยทบต้นเกินกำหนดในกฎหมาย และจำเลยไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกู้ยืมเงินรายนี้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ที่จำเลยออกเช็คให้เป็นเอกเทศสัญญาอีกส่วนหนึ่ง จะนำลักษณะกู้ยืมมาบังคับไม่ได้ โจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน ๑ ปี ขาดอายุความในเรื่องเช็คตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๐๐๒ ที่โจทก์ไปร้องทุกข์เรื่องเช็คไม่มีเงินตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ ไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวกับคดีอาญา ไม่ถืออายุความทางอาญา พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่จำเลยออกเช็คสั่งธนาคารจ่ายเงินให้โจทก์ แสดงว่าจำเลยมีหนี้ที่จะต้องชำระแก่โจทก์ จึงเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๓ แม้จะขาดอายุความเรื่องเช็ค แต่ยังอยู่ในอายุความกู้ยืมอันเป็นมูลหนี้เดิมที่โจทก์ฟ้องมาด้วย คดีไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหาในชั้นนี้มีเพียงว่า เช็คเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมอันเป็นมูลหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยในคดีนี้หรือไม่ มีฎีกาที่ ๑๕๙๕/๒๕๐๓ ซึ่งวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า เช็คในคดีนั้นมิได้มีคำว่ากู้หรือยืม และอ่านข้อความในเช็คทั้งหมดก็ไม่ได้มีเค้าว่าเป็นการกู้ยืมแต่ประการใดเลย สภาพของเช็คก็เป็นการใช้เงิน ไม่ใช่การกู้หรือยืมเงิน เช็คจึงมิใช่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม จะนำสืบว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมหาได้ไม่ บันทัดฐานมีอยู่ดังนี้ โจทก์จึงนำเช็คมาเป็นมูลฟ้องในเรื่องกู้ยืมเงินไม่ได้
พิพากษากลับศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share