แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่ ส.ลงลายมือชื่อร่วมกับช. มอบอำนาจให้จ. ฟ้องจำเลยเป็นการกระทำภายหลังจาก ส. ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดแล้วจึงไม่ต้องด้วยข้อบังคับของโจทก์ตามหนังสือรับรองที่กำหนดให้กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ คือ ส.ช. และ จ.สองในสามคนนี้ลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราของบริษัทจึงจะกระทำการผูกพันโจทก์ การกระทำของจำเลย ส.จึงเป็นการกระทำที่ปราศจากอำนาจ จ. จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ การลาออกของ ส. ยังไม่มีผลตามกฎหมายเพราะยังไม่ได้มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลง แต่ความเกี่ยวพันกันในระหว่างบริษัทโจทก์กับ ส. ผู้เป็นกรรมการนั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1167 กำหนดให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยตัวแทน ฉะนั้น ส.ย่อมจะบอกเลิกการเป็นผู้แทนของโจทก์เสียในเวลาใด ๆก็ได้ทุกเมื่อและย่อมมีผลทันทีเมื่อได้แสดงเจตนาแก่โจทก์ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 826,827,386 หาใช่มีผลต่อเมื่อ โจทก์ได้นำไปจดทะเบียนต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทแล้วไม่ส่วนการบังคับให้จดทะเบียนตามมาตรา 1023 นั้น เป็นกรณีที่โจทก์จะถือเอาประโยชน์แก่บุคคลภายนอกถึงการเปลี่ยนแปลงยังไม่ได้ จนกว่าจะได้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือราชกิจจานุเบกษาแล้ว แต่จำเลยถูกฟ้องในฐานะผู้กู้ยืมเงินจากโจทก์มิใช่ในฐานะผู้ถือหุ้นของโจทก์ จึงนับว่าเป็นบุคคลภายนอกย่อมจะถือเอาประโยชน์เช่นว่านั้นได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีกรรมการ 2 ใน 3 คน ลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราของบริษัทกระทำการจึงมีผลผูกพันบริษัทโจทก์ การฟ้องคดีนี้โจทก์มอบอำนาจให้นายจิรัฐ ลาวัลย์ตระกูล เป็นผู้ดำเนินคดีแทน เมื่อวันที่4 มิถุนายน 2529 จำเลยกู้ยืมเงินไปจากโจทก์ จำนวน 800,000 บาทโดยตกลงให้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จำเลยผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยและต้นเงินคืนแก่โจทก์ โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยเพิกเฉยเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายเฉพาะดอกเบี้ยนับแต่วันกู้ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 223,666.60 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,023,666.60 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงิน 800,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง นายแสงชัย ชัยพัฒนาการนายไชยยงค์ ฆังนิมิตร และนายเจริญ ประสิทธิ์วรากุล เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือไม่เพียงใดและจะมีความสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ จำเลยไม่รับรอง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมจำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินหรือรับเงินจำนวน 800,000 บาท ไปจากโจทก์ตามฟ้องหนังสือสัญญากู้ตามเอกสารสำเนาท้ายฟ้องหมายเลข 3เป็นสัญญาที่จำเลยลงชื่อไว้ให้แก่พนักงานของบริษัทโจทก์โดยไม่ได้กรอกข้อความเป็นกรณีที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นโจทก์เบิกเงินทดรองจ่ายจากโจทก์ไปก่อน การที่โจทก์กรอกข้อความลงไปว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์ 800,000 บาท ในวันที่4 มิถุนายน 2529 นั้นไม่เป็นความจริง สัญญากู้จึงไม่ผูกพันจำเลยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า นายแสงชัย ชัยพัฒนาการลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 ภายหลังที่นายแสงชัยมีหนังสือลาออกจากการเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อกระทำการแทนบริษัทโจทก์แล้ว การกระทำของนายแสงชัย จึงไม่มีผลผูกพันบริษัทโจทก์เท่ากับว่าหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 มีแต่เพียงนายไชยยงค์ ฆังนิมิตร ผู้เดียวเท่านั้นที่ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าว เป็นการขัดต่อข้อบังคับของบริษัทโจทก์ที่กำหนดให้กรรมการ 2 ใน 3 คนลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราของบริษัทโจทก์มีผลผูกพันบริษัทโจทก์ได้ หนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 จึงไม่ชอบและเป็นผลให้นายจิรัฐ ลาวัลย์ตระกูล ไม่มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีนี้แทนโจทก์ตามไปด้วย การที่นายจิรัฐดำเนินคดีแก่จำเลยด้วยการแต่งตั้งทนายความว่าความดำเนินคดีเป็นการกระทำที่ปราศจากอำนาจ ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องไม่ชอบ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีกรรมการ 2 ใน 3 คนลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราของบริษัทกระทำการมีผลผูกพันโจทก์ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 เมื่อวันที่1 พฤษภาคม 2530 นายแสงชัย ชัยพัฒนาการ กรรมการของโจทก์ได้ทำหนังสือลาออกจากการเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2530 เป็นต้นไป ตามเอกสารหมาย ล.2แล้วส่งเอกสารฉบับดังกล่าวให้กรรมการ ผู้ถือหุ้นและนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดสงขลาทราบแล้ว แต่ยังไม่มีการจดทะเบียนแก้ไขเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทโจทก์ เมื่อวันที่1 มีนาคม 2531 โจทก์โดยนายแสงชัยและนายไชยยงค์ ฆังนิมิตรลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจพร้อมประทับตราสำคัญของบริษัทมอบอำนาจให้นายจิรัฐ ลาวัลย์ตระกูล ฟ้องคดีนี้ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.2 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยข้อแรกว่า นายจิรัฐลาวัลย์ตระกูล ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ มีอำนาจฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ได้หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่นายแสงชัยลงลายมือชื่อร่วมกันนายไชยยงค์มอบอำนาจให้นายจิรัฐมาฟ้องจำเลยเป็นการกระทำภายหลังจากนายแสงชัยได้ลาออกจากการเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์แล้ว จึงไม่ต้องด้วยข้อบังคับของโจทก์ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 ที่กำหนดให้กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ คือ นายแสงชัย นายไชยยงค์ และนายเจริญประสิทธิ์วรากุล สองในสามคนนี้ลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราของบริษัทจึงจะกระทำการผูกพันโจทก์ การกระทำของนายแสงชัยจึงเป็นการกระทำที่ปราศจากอำนาจ นายจิรัฐจึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ ที่โจทก์ฎีกาโต้แย้งว่าการลาออกของนายแสงชัยยังไม่มีผลตามกฎหมายเพราะยังไม่ได้มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงนั้นเห็นว่าความเกี่ยวพันกันในระหว่างบริษัทโจทก์กับนายแสงชัยผู้เป็นกรรมการนั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1167กำหนดให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยตัวแทน ฉะนั้นนายแสงชัยย่อมจะบอกเลิกการเป็นผู้แทนของโจทก์เสียในเวลาใด ๆก็ได้ทุกเมื่อและย่อมมีผลทันทีเมื่อได้แสดงเจตนาแก่โจทก์ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 826, 827, 386 หาใช่ผลต่อเมื่อโจทก์ได้นำไปจดทะเบียนต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทแล้วไม่ ส่วนการบังคับให้จดทะเบียนตามมาตรา 1023 นั้น เป็นกรณีที่โจทก์จะถือเอาประโยชน์แก่บุคคลภายนอกถึงการเปลี่ยนแปลงยังไม่ได้จนกว่าจะได้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือราชกิจจานุเบกษาแล้ว แต่จำเลยถูกฟ้องในฐานะผู้กู้ยืมเงินจากโจทก์ มิใช่ในฐานะผู้ถือหุ้นของโจทก์จึงนับว่าเป็นบุคคลภายนอกย่อมจะถือเอาประโยชน์เช่นว่านั้นได้ ทั้งการวินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้องก็มิได้เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น เพราะจำเลยได้ให้การต่อสู้และนำสืบไว้ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้ออื่นอีกต่อไป
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ