คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1482/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พนักงานอัยการเคยฟ้องโจทก์และจำเลยเป็นคดีอาญาข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทและคดีดังกล่าวศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าเหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทของจำเลยฝ่ายเดียวโจทก์มิได้ขับรถประมาทแต่เมื่อยังไม่ถึงที่สุดศาลอุทธรณ์ในคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยจึงไม่จำต้องถือตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาแต่เมื่อคดีอาญาถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์โดยโจทก์ได้ฎีกาในปัญหานี้ขึ้นมาแม้คดีนี้ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงศาลฎีกาก็ต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาว่าเหตุรถชนเกิดเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยฝ่ายเดียว

ย่อยาว

คดี นี้ เดิม ศาลชั้นต้น พิจารณา พิพากษา รวมกับ คดี หมายเลขแดง ที่15013/2532 ของ ศาลชั้นต้น แต่ คดี ดังกล่าว ถึงที่สุด ตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น คง ขึ้น มา สู่ การ พิจารณา ของ ศาลฎีกา เฉพาะคดี นี้
โจทก์ ฟ้อง ว่า จำเลย ขับ รถยนต์ ประมาท เลินเล่อ ผ่า สัญญาณไฟ สีแดงชน รถ ของ โจทก์ เสียหาย ขอให้ บังคับ จำเลย ชำระ เงิน 76,506 บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตรา ร้อยละ 7.5 ต่อ ปี
จำเลย ให้การ ว่า เหตุ ที่ รถ ชนกัน เกิดขึ้น เพราะ ความประมาท เลินเล่อของ โจทก์ ค่าซ่อม ที่ โจทก์ เรียกร้อง สูง เกิน ความ เป็น จริง ขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ จำเลย ชำระ เงิน 61,506 บาท พร้อม ดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ 7.5 ต่อ ปี นับแต่ วันที่ 22 สิงหาคม 2529 จนกว่า จะชำระ เสร็จ แก่ โจทก์
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “คดี นี้ จำนวน ทุนทรัพย์ ที่พิพาท กัน ใน ชั้นฎีกา ไม่เกิน สอง แสน บาท ต้องห้าม มิให้ คู่ความ ฎีกา ใน ข้อเท็จจริงและ การ วินิจฉัย ปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกา ต้อง ถือ ตาม ข้อเท็จจริงที่ ศาลอุทธรณ์ ได้ วินิจฉัย จาก พยานหลักฐาน ใน สำนวน แต่ สำหรับ การ ฟ้องคดีแพ่ง เกี่ยวเนื่อง กับ คดีอาญา ที่ โจทก์ ฎีกา ใน ปัญหาข้อกฎหมาย ว่า ใน การพิพากษาคดี ส่วน แพ่ง ศาล จำต้อง ถือ ข้อเท็จจริง ตาม ที่ ปรากฏ ใน คำพิพากษาคดี ส่วน อาญา นั้น ศาลฎีกา เห็นว่า คดี นี้ เป็น คดีแพ่ง เกี่ยวเนื่องกับ คดีอาญา โดย พนักงานอัยการ ได้ ฟ้องโจทก์ และ จำเลย เป็น คดีอาญาต่อ ศาลแขวง พระนคร เหนือ ตาม คดีอาญา หมายเลขแดง ที่ 21183/2530คดีอาญา ดังกล่าว ถึงที่สุด โดย ศาลอุทธรณ์ พิพากษา ว่า เหตุ รถ ชนกัน เกิดจากความประมาท ของ จำเลย แต่ ฝ่ายเดียว โจทก์ มิได้ เป็น ฝ่าย ขับ รถ ประมาทดังนั้น ใน การ พิพากษาคดี ส่วน แพ่ง ศาล จำต้อง ถือ ข้อเท็จจริง ตาม ที่ปรากฏ ใน คำพิพากษา คดี ส่วน อาญา ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 โดย ขณะที่ ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัย ว่า เหตุ รถ ชน เกิด เพราะความประมาท เลินเล่อ ของ โจทก์ จำเลย ไม่ต้อง รับผิด นั้น คดี ส่วน อาญายัง ไม่ถึงที่สุด ศาลอุทธรณ์ จึง ไม่จำต้อง ถือ ตาม คำพิพากษา คดี ส่วน อาญาแต่เมื่อ คดี ส่วน อาญา มา ถึงที่สุด ใน ชั้น นี้ โดย ที่ โจทก์ ได้ ฎีกา ในปัญหา นี้ ขึ้น มา แม้ คดี นี้ ต้องห้าม มิให้ คู่ความ ฎีกา ใน ข้อเท็จจริง แต่ศาลฎีกา ต้อง ฟัง ข้อเท็จจริง ใน คดี ส่วน อาญา ซึ่ง ถึงที่สุด แล้ว ตามกฎหมาย ดังกล่าว เหตุ รถ ชน เกิด เพราะ ความประมาท เลินเล่อ ของ จำเลยฝ่ายเดียว โจทก์ มิได้ มี ส่วน ประมาท เลินเล่อ ด้วย ศาลชั้นต้น พิพากษาชอบแล้ว ที่ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายก ฟ้องโจทก์ นั้น ศาลฎีกา ไม่เห็นพ้อง ด้วย ฎีกา โจทก์ ฟังขึ้น ”
พิพากษากลับ ให้ บังคับคดี ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น

Share