คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5513/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรโดยบรรยายฟ้องว่า ในการร่วมกันลักทรัพย์มีการใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ กึ่งหนึ่ง ตาม ป.อ. มาตรา 336 ทวิ เมื่อความผิดฐานลักทรัพย์ดังกล่าวกฎหมายไม่ได้กำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น ซึ่งศาลต้องฟังพยานหลักฐานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพฐานลักทรัพย์ จึงไม่จำต้องสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพและข้อเท็จจริงย่อมฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันกระทำผิดตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมา ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองคงลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตาม ป.อ. มาตรา 335 โดยมิได้ปรับบทลงโทษ ตาม ป.อ. มาตรา 336 ทวิ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 83, 334, 335, 336 ทวิ, 357 นับโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษหรือระยะเวลาฝึกอบรมของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 7/2557 ของศาลชั้นต้น และบวกโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 368/2555 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษหรือระยะเวลาฝึกอบรมของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ และจำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
จำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 3 เข้ามาใหม่ภายใน 7 วัน และจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 3 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1), (7), (8) วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 1 และที่ 2 อายุ 17 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 จำคุกคนละ 3 ปี จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 142 (1) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 2 จังหวัดราชบุรี มีกำหนดคนละ 1 ปี 6 เดือน หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีอายุครบยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์ก่อนครบกำหนดระยะเวลาฝึกอบรม ให้ส่งตัวจำเลยที่ 1 และ 2 ไปจำคุกเท่ากับระยะเวลาฝึกอบรมที่เหลือ ยกฟ้องข้อหารับของโจร ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษหรือระยะเวลาฝึกอบรมของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อจากโทษหรือระยะเวลาฝึกอบรมของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 7/2557 ของศาลชั้นต้นนั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวยังมิได้มีคำพิพากษา จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ และที่โจทก์ขอให้บวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 368/2555 ของศาลชั้นต้น เนื่องจากคดีนี้ศาลมิได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 จึงไม่อาจบวกโทษได้ ให้ยกคำขอ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองที่ไม่ได้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคนร้ายร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม อันเป็นองค์ประกอบที่ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ เมื่อความผิดดังกล่าวกฎหมายไม่ได้กำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักว่านั้น ซึ่งศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพ จึงไม่จำต้องสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพและข้อเท็จจริงย่อมฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันกระทำผิดตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมา ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองไม่ได้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นควรปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 เสียให้ถูกต้อง ส่วนโทษหรือระยะเวลาฝึกอบรมที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดมานั้น เหมาะสมกับที่ได้ปรับบทลงโทษใหม่แล้ว จึงไม่แก้ไขในส่วนนี้ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1), (7), (8) วรรคสอง ประกอบมาตรา 336 ทวิ, 83 ส่วนโทษหรือระยะเวลาฝึกอบรมและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

Share