แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์ภาค1วินิจฉัยว่าโจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายที่พิพาทระหว่างที่พิพาทยังอยู่ในระยะเวลาห้ามโอนตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ.2511มาตรา12โจทก์จะอ้างว่าไม่รู้ว่าเป็นบทกฎหมายดังกล่าวหาได้ไม่ข้อที่ว่าโจทก์รู้หรือไม่รู้ว่ามีบทกฎหมายดังกล่าวหรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลชั้นต้นมิได้กำหนดปัญหานี้เป็นประเด็นข้อพิพาทไว้การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค1หยิบยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ โจทก์ไม่ทราบว่าการซื้อขายที่พิพาทจะเป็นโมฆะในขณะตกลงซื้อขายกันแต่เพิ่งทราบเมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีอื่นจึงถือว่าโจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนเงินจากจำเลยตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาในคดีอื่นนั้นเมื่อนับถึงวันฟ้องยังไม่เกิน1ปีคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ เมื่อการซื้อขายที่พิพาทตกเป็นโมฆะตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในคดีอื่นดังนั้นเงินค่าที่พิพาทที่จำเลยผู้ขายได้รับจากโจทก์ผู้ซื้อจึงต้องคืนแก่โจทก์ฐานลาภมิควรได้หากมีการเรียกเงินดังกล่าวคืนเมื่อจำเลยไม่คืนให้ต้องถือว่าจำเลยตกอยู่ในฐานะทุจริตจำเดิมแต่เวลาที่ถูกเรียกคืนและตกเป็นผู้ผิดนัดจะต้องเสียดอกเบี้ยนับตั้งแต่เวลานั้นเมื่อไม่ปรากฏว่าก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้เรียกให้จำเลยคืนเงินให้แก่โจทก์ต้องถือว่าโจทก์เรียกร้องให้จำเลยคืนเงินนับแต่วันฟ้อง ที่พิพาทราคา250,000บาทการที่โจทก์ฟ้องเรียกคืนจากจำเลยเป็นจำนวน410,000บาทจึงเกินไปจากราคาที่พิพาทที่โจทก์มีสิทธิเรียกคืนแม้จำเลยจะมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นข้อพิพาทไว้แต่ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2531 จำเลยมอบให้นางละเมียด ขุนทอง มารดาจำเลยเป็นตัวแทนทำสัญญาขายที่ดินที่จำเลยได้รับการจัดสรรจากกรมประชาสงเคราะห์ให้แก่โจทก์และนางละเมียดได้ทำสัญญาขายที่ดินของนางละเมียดเองให้แก่โจทก์พร้อมกันด้วยในราคา 500,000 บาท โจทก์ชำระราคาที่ดินครบถ้วนแล้ว โดยชำระให้แก่จำเลยเป็นเงินจำนวน 410,000 บาทโจทก์ชำระราคาส่วนที่เหลืออีก 50,000 บาท ให้แก่นางละเมียด แต่จำเลยผิดสัญญาไม่ไปสละสิทธิการครอบครองในที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ และปรากฏว่าที่ดินดังกล่าวจำเลยไม่มีสิทธิครอบครองที่จะโอนขายให้แก่โจทก์ได้ เนื่องจากเป็นที่ดินที่จำเลยได้รับมาตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ. 2511 สัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ โจทก์แจ้งให้จำเลยคืนเงินจำนวน 410,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี แต่จำเลยไม่ยอมคืน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน410,000 บาท และดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องจำนวน 110,280 บาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 520,280 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินจำนวน 410,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 290/2534 ของศาลชั้นต้น โจทก์ไม่ฟ้องคดีภายใน1 ปี จึงขาดอายุความ โจทก์ทราบดีแล้วว่าที่พิพาทอยู่ในบังคับตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ห้ามโอนให้แก่กัน โจทก์คบคิดกับนางละเอียดทำสัญญาซื้อขายที่พิพาทภายในกำหนดระยะเวลาห้ามโอน เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนโจทก์จึงไม่อาจใช้สิทธิฟ้องร้องได้ และไม่อยู่ในฐานะผู้กระทำการโดยสุจริต จำเลยไม่เคยตกลงหรือมอบให้ผู้ใดขายที่ดินให้แก่โจทก์และโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว โจทก์ฎีกาเป็นใจความสรุปได้ว่า โจทก์เชื่อโดยสุจริตว่าโจทก์มีหน้าที่ตามสัญญาซื้อขายที่จะต้องชำระราคาค่าที่ดินให้แก่จำเลยโดยไม่ทราบถึงข้อห้ามตามกฎหมายว่าห้ามโอนที่พิพาท โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินคืน เห็นว่าคดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายที่พิพาทระหว่างที่พิพาทยังอยู่ในระยะเวลาห้ามโอนตามพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 มาตรา 12 โจทก์จะอ้างว่าไม่รู้ว่ามีบทกฎหมายดังกล่าวหาได้ไม่ ข้อที่ว่าโจทก์รู้หรือไม่รู้ว่ามีบทกฎหมายดังกล่าวหรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง แต่เมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดปัญหานี้เป็นประเด็นข้อพิพาทไว้การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 183 แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่ว่า จำเลยตกลงขายที่พิพาทให้โจทก์หรือไม่ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่และโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยหรือไม่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังมิได้วินิจฉัยไปเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวน พิเคราะห์แล้วปัญหาประการแรกที่ว่า จำเลยตกลงขายที่พิพาทให้โจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีน้ำหนักกว่าพยานหลักฐานจำเลยคดีรับฟังได้ว่าจำเลยตกลงขายที่พิพาทให้แก่โจทก์
ปัญหาประการต่อไปที่ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่เห็นว่า แม้การซื้อขายจะเป็นโมฆะตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 290/2534 ซึ่งถือว่าผูกพันคู่ความก็ตามแต่โจทก์ไม่ทราบว่าการซื้อขายที่พิพาทจะเป็นโมฆะในขณะตกลงซื้อขายกัน แต่โจทก์เพิ่งจะทราบว่าการซื้อขายที่พิพาทเป็นโมฆะเมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 290/2534 ดังนี้จึงฟังได้ว่า โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนเงินจากจำเลยตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีดังกล่าวคือวันที่ 21 มิถุนายน 2534เมื่อนับถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2534 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ปัญหาประการสุดท้ายที่ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยหรือไม่เห็นว่า เมื่อการซื้อขายที่พิพาทตกเป็นโมฆะตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 290/2534 ดังนั้น เงินค่าที่พิพาทที่จำเลยผู้ขายได้รับจากโจทก์ผู้ซื้อจึงต้องคืนให้แก่โจทก์ฐานลาภมิควรได้ หากมีการเรียกเงินดังกล่าวคืน เมื่อจำเลยไม่คืนให้ต้องถือว่าจำเลยตกอยู่ในฐานะทุจริตจำเดิมแต่เวลาที่ถูกเรียกคืนและตกเป็นผู้ผิดนัดจะต้องเสียดอกเบี้ยนับตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นไปเมื่อไม่ปรากฏว่าก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้เรียกให้จำเลยคืนเงินให้แก่โจทก์ ต้องถือว่าโจทก์เรียกร้องให้จำเลยคืนเงินนับตั้งแต่วันฟ้อง
อนึ่ง โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่พิพาทจากจำเลยพร้อมกับที่ดินของนางละเอียดในราคารวมกันเป็นเงินจำนวน500,000 บาท โดยที่ดินทั้งสองแปลงเนื้อที่แปลงละ 16 ไร่เท่ากัน ที่ดินทั้งสองแปลงอยู่ติดกันในบริเวณเดียวกันและต่างได้รับการจัดสรรให้เข้าทำกินเหมือนกัน น่าเชื่อว่ามีราคาเท่ากันเมื่อซื้อรวมกันในราคา 500,000 บาท ที่ดินแต่ละแปลงจึงมีราคาแปลงละ 250,000 บาท การที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยเป็นจำนวน 410,000 บาท จึงเกินไปจากราคาที่พิพาทที่โจทก์มีสิทธิเรียกคืน แม้จำเลยจะมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ก็ตาม แต่ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 250,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง(วันที่ 20 พฤศจิกายน 2534) เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์