แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้การเพียงว่า พ. ขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนเนื้อที่ 1 งานในโฉนดเลขที่ 4866 ให้แก่ ย. สามีจำเลย และที่ดินดังกล่าวต่อมาทำการแบ่งแยกเป็นที่ดินพิพาทแปลงโฉนดเลขที่ 10442 จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่า ย. และจำเลยร่วมกันซื้อที่ดินพิพาทจาก พ. หรือที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ ย. และจำเลยทำมาหาได้ร่วมกันที่จำเลยให้การว่า ย. ซื้อที่ดินพิพาทระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลย ก็ได้ความว่า ย. อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยภายหลัง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ใช้บังคับเมื่อไม่ได้จดทะเบียนสมรส ย. กับจำเลยจึงไม่ใช่สามีภริยากันตามกฎหมาย คำให้การดังกล่าวไม่ใช่การกล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรส จึงไม่มีประเด็นว่าจำเลยเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยและ ย. ร่วมกันซื้อที่ดินพิพาทระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยาอันเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ที่จำเลยฎีกาต่อมาว่า จำเลยและ ย. ร่วมกันซื้อที่ดินพิพาทระหว่างอยู่กิน ฉันสามีภริยากันถือว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่จำเลยกับ ย. ทำมาหาได้ร่วมกัน จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น เป็นฎีกา ที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10442 เนื้อที่1 งาน โดยซื้อมาจากนางสาวสมพงษ์ แซ่อุ่ย เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว จำเลยได้ขออาศัยนางสาวสมพงษ์เจ้าของเดิมเพื่อปลูกบ้านโดยจำเลยตกลงจะรื้อถอนบ้านออกไปทันทีที่เจ้าของเดิมต้องการใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้น ต่อมานางสาวสมพงษ์ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ โจทก์ประสงค์จะใช้ประโยชน์ในที่ดิน จึงแจ้งให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินจำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านเลขที่ 35 ออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 10442 ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่เคยขออาศัยที่ดินพิพาทจำเลยเป็นภริยาของนายยี อุชชิน ซึ่งเป็นพี่ชายของนางสาวสมพงษ์ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2495 หลังจากนายยีอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยแล้วนายยีได้ซื้อที่ดินพิพาทจากนางเพี้ยน วงษ์ชิต เมื่อซื้อมาแล้วนายยีและจำเลยได้ปลูกบ้านพักอาศัย หลังจากนายยีถึงแก่ความตายจำเลยได้ปลูกบ้านหลังใหม่ จำเลยครอบครองเป็นเวลากว่า 40 ปี จนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์เป็นหลานของนางสาวสมพงษ์ การที่นางสาวสมพงษ์ขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์เป็นการกระทำที่ไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาเพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับนางสาวสมพงษ์ และพิพากษาว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นางเจียน ภู่พันธ์ ได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่นายกัง แซ่อุ่ย บิดาของนางสาวสมพงษ์ แต่เนื่องจากนายกังเป็นคนสัญชาติจีนไม่สามารถถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้จึงใส่ชื่อนายยีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ต่อมานายยีพาจำเลยและบุตรเข้ามาอาศัยปลูกบ้านหลังจากนั้นนางสาวสมพงษ์รับมรดกที่ดินพิพาทโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากนางสาวสมพงษ์และบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินพิพาท แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ และยกฟ้องแย้งจำเลย
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านเลขที่ 35 ออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 10442 ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยให้การเพียงว่า เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2495นางเพี้ยน วงษ์ชิต ขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนเนื้อที่ 1 งาน ในโฉนดเลขที่ 4866 ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง ให้แก่นายยีอุชชิน สามีจำเลย และที่ดินดังกล่าวต่อมาทำการแบ่งแยกเป็นที่ดินพิพาทแปลงโฉนดเลขที่ 10442 จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่า นายยีและจำเลยร่วมกันซื้อที่ดินพิพาทจากนางเพี้ยนหรือที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่นายยีและจำเลยทำมาหาได้ร่วมกัน ที่จำเลยให้การว่านายยีซื้อที่ดินพิพาทระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยก็ได้ความว่านายยีอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยภายหลังประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ใช้บังคับ เมื่อไม่ได้จดทะเบียนสมรสนายยีจำเลยจึงไม่ใช่สามีภริยากันตามกฎหมาย คำให้การดังกล่าวไม่ใช่การกล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรส คำให้การของจำเลยจึงไม่มีประเด็นว่าจำเลยเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาท ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยและนายยีร่วมกันซื้อที่ดินพิพาทระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยาจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยและนายยีร่วมกันซื้อที่ดินพิพาทระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยากันถือว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่จำเลยกับนายยีทำมาหาได้ร่วมกัน จำเลยจึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่ง เมื่อจำเลยเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาท โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยนั้น จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว โดยชอบในศาลชั้นต้น เป็นฎีกาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลย คืนค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาทั้งหมดให้จำเลย