แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บันทึกรายการขายและใบแจ้งยอดหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตของธนาคารโจทก์เป็นภาพถ่ายสำเนาเอกสารจากไมโครฟิล์มซึ่งต้นฉบับอยู่ที่โจทก์และไม่ปรากฎว่าต้นฉบับเอกสารได้สูญหายถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัยหรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่นจึงต้องห้ามมิให้รับฟังเอกสารดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา93
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตธนาคารกรุงศรีอยุธยาจำกัด ของโจทก์ ในระหว่างวันที่ 30 กรกฎาคม 2533 ถึงวันที่ 24 สิงหาคม 2533 จำเลยได้นำบัตรเครดิตของโจทก์ไปใช้ซื้อสินค้าบริการและเบิกเงินสดล่วงหน้า เมื่อโจทก์จัดทำใบแจ้งยอดบัญชีไปเรียกเก็บเงินจากจำเลย จำเลยไม่ชำระแก่โจทก์ โจทก์จึงคิดเบี้ยปรับ ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย รวมเป็นเงินที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ทั้งสิ้น 21,298.38 บาท ต่อมาเมื่อวันที่27 กุมภาพันธ์ 2534 โจทก์ได้แจ้งยกเลิกการเป็นสมาชิกบัตรเครดิตดังกล่าวแก่จำเลยหลังจากนั้นจำเลยได้ชำระหนี้แก่โจทก์ 3 ครั้งรวมเป็นเงิน 9,000 บาท ยังคงค้างชำระอยู่อีก 13,413.24 บาทโจทก์ได้ทวงถามโดยชอบแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 19,715.61 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง เพราะตามวิธีการเรียกเก็บเงินของโจทก์ เมื่อจำเลยได้ใช้บัตรเครดิตของโจทก์ชำระค่าสินค้าหรือเบิกจ่ายเงินสดแล้ว โจทก์จะต้องมีหลักฐานการใช้เงินลงลายมือชื่อจำเลยเป็นหลักฐาน แล้วทำรายการเรียกเก็บเงินมายังจำเลย และจำเลยจะชำระค่าใช้บัตรเครดิตของโจทก์โดยการโอนเงินเข้าบัญชีโจทก์ จำเลยไม่เคยใช้บัตรเครดิตตามรายการในเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 เอกสารดังกล่าวโจทก์ได้ทำขึ้นมาฝ่ายเดียว ไม่มีข้อความใดที่จำเลยได้ลงลายมือชื่อไว้ว่าได้ใช้บัตรเครดิตของโจทก์ตามรายการดังกล่าวจริง จำเลยไม่เคยยินยอมหรือทำข้อตกลงให้โจทก์คิดเบี้ยปรับฐานผิดสัญญาอัตราร้อยละ 1ต่อเดือน และคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยต้องรับผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีเพียงประการเดียวว่า ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฟังบันทึกรายการขายและใบแจ้งยอดหนี้สำเนาเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 ตามลำดับนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์และฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง และมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าบันทึกรายการขายและใบแจ้งยอดหนี้ตามเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 เป็นภาพถ่ายสำเนาเอกสารจากไมโครฟิล์มซึ่งมีต้นฉบับอยู่ที่โจทก์ กรณีจึงต้องห้ามมิให้รับฟังเอกสารดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93ที่โจทก์ฎีกาว่า คดีนี้เอกสารดังกล่าวเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) กล่าวคือ เป็นกรณีที่ต้นฉบับเอกสารหาไม่ได้เพราะสูญหายหรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัยหรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่นนั้น แต่ทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฎข้อเท็จจริงที่จะเข้าข้อยกเว้นตามบทกฎหมายดังกล่าวแต่อย่างใด
พิพากษายืน