คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4935/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องและมีคำขอให้ริบของกลาง ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 มาตรา 89 จึงต้องริบวัตถุออกฤทธิ์ของกลางที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์ให้แก่กระทรวงสาธารณสุขเพื่อทำลายหรือจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่เห็นสมควรตามมาตรา 116

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2539 เวลากลางวันจำเลยทั้งสองร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อขายซึ่งเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำนวน 494 เม็ด โดยตรวจพิสูจน์จำนวน 292 เม็ด มีน้ำหนักรวม 22.046 กรัม คำนวณปริมาณเป็นสารบริสุทธิ์ 3.349 กรัม และเป็นการมีไว้ในครอบครองเมื่อคำนวณเป็นปริมาณสารบริสุทธิ์แล้วเกินกว่า 0.500 กรัม ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนดโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วจำเลยทั้งสองร่วมกันขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจำนวน4 เม็ด ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อในราคา 200 บาท โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองพร้อมยึดธนบัตรฉบับละ 100 บาท2 ฉบับ เมทแอมเฟตามีนดังกล่าว เงินสด 305,241 บาท เครื่องคิดเลข1 เครื่อง ถุงพลาสติกสีขาว 63 ถุง ถุงพลาสติกสีเหลือง 5 ถุง ถุงพลาสติกสีขาวขอบแดง 90 ถุง อุปกรณ์ที่ใช้เสพวัตถุออกฤทธิ์ 4 อัน โทรศัพท์มือถือ1 เครื่อง และถุงย่าม 1 ใบ เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ, 62,89, 106, 106 ทวิ, 116 ริบวัตถุออกฤทธิ์ของกลาง

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง,62 วรรคหนึ่ง, 89, 106 ทวิ เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 แต่เนื่องจากโทษทั้งสองบทเท่ากัน จึงลงโทษฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ตามมาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 จำคุก 8 ปี ริบวัตถุออกฤทธิ์ของกลาง

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 นั้น เห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ลงโทษจำคุก 8 ปี เหมาะสมแก่สภาพความผิดแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้นำคำให้การชั้นสอบสวนและข้อนำสืบของจำเลยที่ 2 มารับฟังประกอบการลงโทษจำเลยที่ 2 ด้วยที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ลดโทษให้จำเลยที่ 2 นั้นไม่เหมาะสม

อนึ่ง ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 89จึงต้องริบวัตถุออกฤทธิ์ของกลางที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์ให้แก่กระทรวงสาธารณสุขเพื่อทำลายหรือจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่เห็นสมควร ตามบทบัญญัติมาตรา 116 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง

พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด6 ปี ริบวัตถุออกฤทธิ์ของกลางที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share