คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4926/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีก่อนที่ อ. และ ค. ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทมีข้อพิพาทกับ ส. จำเลยในคดีนี้ มีประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยหรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นกรณีที่เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ ใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอกตามประมวลแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 จึงเป็นการกระทำแทนโจทก์คดีนี้ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทด้วย ถือได้ว่าโจทก์คดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับคู่ความในคดีก่อน การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของรวม ขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ย่อมเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 4586 ตำบลบางพูด อำเภอบางกะดี จังหวัดปทุมธานี เนื้อที่ 9 ไร่ 31 ตารางวา โดยโจทก์และนายโห้หรือโท้ ชมบุญ สามีโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินโฉนดดังกล่าวด้านทิศเหนือ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2535 จำเลยฟ้องว่าได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันออกเนื้อที่ 1 งาน 83 ตารางวา กับได้ให้การต่อสู้ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 493/2535 หมายเลขแดงที่ 369/2538 ของศาลชั้นต้น ระหว่างนายอำนวย ชมบุญ โจทก์ นายสายันต์ แจ้งพลอย กับพวกรวม 7 คน จำเลย ว่า จำเลยได้ที่ดินพิพาทโดยนางชลอ ชมบุญ มารดายกให้ และจำเลยได้ครอบครองด้วยความสงบเปิดเผย เจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้วทั้งได้เสนอพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ทำให้ศาลเชื่อว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ซึ่งความจริงแล้วนางชลอ ชมบุญ ขอปลูกบ้านเป็นที่อยู่อาศัยในที่ดินพิพาทเนื้อที่ 20 ตารางวา จากสามีโจทก์และเจ้าของรวมคนอื่นๆ เมื่อนางชลอ ชมบุญ เสียชีวิตจำเลยไม่เคยเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาท ขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ภายใน 15 วัน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การฟ้องแย้งว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 493 – 494/2535 หมายเลขแดงที่ 369 – 370/2538 ของศาลชั้นต้น ระหว่างนายอำนวย ชมบุญ กับพวกโจทก์ นายสายันต์ แจ้งพลอย กับพวก รวม 7 คน จำเลย โดยโจทก์ในคดีดังกล่าวเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่ดินพิพาท ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย คำพิพากษาคดีดังกล่าวจึงมีผลผูกพันโจทก์ด้วย ต่อมาเมื่อประมาณปี 2535 โจทก์ได้รื้อถอนบ้านเลขที่ 73/1 หมู่ 1 ตำบลบางพูด อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี และบุกรุกเข้าไปปลูกสร้างบ้านขึ้นใหม่ในที่ดินพาท ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับโจทก์รื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทและขอให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 493 – 494/2535 หมายเลขแดงที่ 369 – 370/2538 ของศาลชั้นต้น เนื่องจากคดีดังกล่าวนายอำนวย ชมบุญ ฟ้องขับไล่จำเลยกับพวกรวม 7 คน ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าที่ดินส่วนที่จำเลยได้กรรมสิทธิ์เป็นที่ดินส่วนของโจทก์ บ้านเลขที่ 73/1 หมู่ที่ 1 ตำบลบางพูด อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ตามที่จำเลยฟ้องแย้งนั้น โจทก์ปลูกอยู่ในที่ดินส่วนของโจทก์ จำเลยไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์รื้อถอนบ้านเลขที่ 73/1 หมู่ที่ 1 ตำบลบางพูด อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ออกไปจากที่ดินพิพาทของจำเลยตามแผนที่เอกสารหมาย จ.3 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในที่ดินโฉนดเลขที่ 4586 ตำบลบางพูด อำเภอบางกะดี จังหวัดปทุมธานี ห้ามโจทก์และบริวารของโจทก์เข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทอีกต่อไปตามฟ้องแย้ง กับให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 2,000 บาท แทนจำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 369 – 370/2538 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 โดยศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินที่พิพาทกันในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 369 – 370/2538 ของศาลชั้นต้น คดีระหว่างนางอำนวย ชมบุญ โจทก์ นายสายันต์ แจ้งพลอย กับพวก จำเลย และคดีระหว่างนายสายันต์ แจ้งพลอย โจทก์ นางคอน ชมบุญ จำเลย ซึ่งรวมพิจารณาพิพากษา โจทก์คดีนี้กับนายอำนวย ชมบุญ และนางคอน ชมบุญ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท โดยยังมิได้แบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัด เห็นว่า คดีก่อนนายอำนวย ชมบุญ และนางคอน ชมบุญมีข้อพิพาทกับนายสายันต์ แจ้งพลอย จำเลยในคดีนี้ มีประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยหรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ การที่นายอำนวย ชมบุญ เป็นโจทก์ฟ้องคดี และนางคอน ชมบุญ เป็นจำเลยต่อสู้คดีในคดีก่อนเป็นกรณีที่เจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ ใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 จึงเป็นการกระทำแทนโจทก์คดีนี้ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทด้วย ถือได้ว่าโจทก์คดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับคู่ความในคดีก่อน การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของรวม ขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ย่อมเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share