แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความเนื่องจากจำเลยถูกศาลล้มละลายกลางสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แต่ศาลชั้นต้นมิได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมจึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 167 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมด้วย และบทบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม เมื่อพิจารณาถึงเหตุที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความเนื่องจากจำเลยถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และภาระที่โจทก์จะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 179 ศาลฎีกาจึงคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดในศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นลูกค้าของโจทก์ประเภทบัตรเครดิตได้นำบัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าและสถานบริการที่เป็นสมาชิกของโจทก์ ตลอดจนเบิกเงินสดล่วงหน้าจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติหรือสำนักงานของโจทก์ แต่จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินที่โจทก์ได้ชำระแทนจำเลยไป รวมเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยทั้งสิ้น 322,761.39 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 322,761.39 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 199,271.34 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วในคดีหมายเลขแดงที่ 823/2546 ขอให้ศาลมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การและรอสอบถามโจทก์วันนัด
วันที่ 13 ตุลาคม 2546 ซึ่งเป็นวันนัดชี้สองสถาน ทนายโจทก์ไม่มาศาล ศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่อาจสอบถามเรื่องจำเลยถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดได้ จึงเลื่อนไปนัดพร้อมวันที่ 31 ตุลาคม 2546
วันที่ 31 ตุลาคม 2546 ทนายโจทก์ยื่นคำร้องและแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้ว ขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ไม่ได้มาแถลงให้ศาลทราบในนัดที่แล้ว ถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาที่เห็นสมควร ไม่อนุญาตให้ถอนฟ้อง แต่เมื่อจำเลยถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และโจทก์ต้องไปดำเนินการขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเพราะเหตุจำเลยถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก็เพื่อให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความ และโจทก์ต้องไปดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย แม้ศาลชั้นต้นจะไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องตามคำร้องแต่ศาลชั้นต้นก็มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความ เพราะเหตุจำเลยถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและโจทก์ต้องไปขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย ซึ่งถือว่าคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นไปตามความประสงค์ของโจทก์ ดังนั้น ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าวันที่ 13 ตุลาคม 2546 เป็นวันนัดชี้สองสถาน แต่ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่าเป็นวันนัดพร้อมเพื่อสอบถามเรื่องที่จำเลยถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ขอให้เพิกถอนรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับดังกล่าวนั้น จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโดยมิได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมด้วยนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความโดยมิได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 167 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมด้วย ซึ่งบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมีเจตนารมณ์ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตามที่เห็นสมควรเมื่อพิจารณาถึงเหตุที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีนี้ออกจากสารบบความเนื่องจากจำเลยถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และภาระที่โจทก์จะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 179 จึงเห็นสมควรคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดในศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดในศาลชั้นต้นแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ