คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1322/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

กรณีที่จะงดการบังคับคดีได้ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 292 และ 293 แห่ง ป.วิ.พ. แต่ตามคำร้องของจำเลยหาได้อ้างเหตุตามบทบัญญัติดังกล่าวเพื่อขอให้ศาลงดการบังคับดคีไม่ กลับอ้างวิกฤติเศรษฐกิจของไทยและเศรษฐกิจของโลกเป็นเหตุที่อ้างว่าตนไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ และของดการบังคับคดีอ้างว่าตนยังหาได้ชื่อว่าผิดนัดไม่ โดยอ้าง ป.พ.พ. มาตรา 205 และ 219 อันเป็นกฎหมายในส่วนสารบัญญัติซึ่งไม่ได้บัญญัติเกี่ยวกับการงดการบังคับคดีไว้ จึงไม่มีเหตุที่จะงดการบังคับคดี

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 5,160,858.89 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการบังคับคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามคำร้องของจำเลยลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2545 อ้างเหตุว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อการบังคับคดี เนื่องจากการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยจำเลยไม่ต้องรับผิดจนกว่าวิกฤติเศรษฐกิจจะกลับคืนสู่สภาวะปกติและจำเลยยังหาได้ชื่อว่าผิดนัดไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 205 และ 219 จึงขอศาลงดการบังคับคดีไว้ก่อนนั้น เห็นว่า กรณีที่จะงดการบังคับคดีได้ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 292 และ 293 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยมาตรา 292 เป็นบทบัญญัติที่วางหลักเกณฑ์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องงดการบังคับคดีไว้เมื่อมีเหตุตามที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้เกิดขึ้นสำหรับจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาคือกรณีที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ เมื่อศาลได้ส่งคำสั่งให้งดการบังคับคดีไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดีให้ทราบแล้ว ส่วนมาตรา 293 เป็นบทบัญญัติที่ให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำขอทำเป็นคำร้องต่อศาลให้งดการบังคับคดีไว้ได้ โดยเหตุที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ยื่นฟ้องเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นคดีเรื่องอื่นในศาลเดียวกันนั้นซึ่งศาลยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาด และถ้าหากลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นฝ่ายชนะจะไม่ต้องมีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินของตนโดยวิธีอื่น เพราะสามารถจะหักกลบลบหนี้กันได้ ถ้าศาลเห็นว่าข้ออ้างของลูกหนี้ตามคำพิพากษามีเหตุฟังได้ และถ้างดการบังคับไว้ไม่น่าจะเป็นที่เสียหายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ศาลอาจมีคำสั่งงดการบังคับคดีไว้ภายในระยะเวลาและเงื่อนไขตามที่เห็นสมควร แต่ตามคำร้องของจำเลยหาได้อ้างเหตุตามบทบัญญัติดังกล่าวเพื่อขอให้ศาลงดการบังคับคดีไม่ กลับอ้างวิกฤติเศรษฐกิจของไทยและเศรษฐกิจของโลกเป็นเหตุที่อ้างว่าตนไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ และของดการบังคับคดีโดยอ้างว่าตนยังหาได้ชื่อว่าผิดนัดไม่ โดยอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 205 และ 219 อันเป็นกฎหมายในส่วนสารบัญญัติซึ่งไม่ได้บัญญัติเกี่ยวกับการงดการบังคับคดีแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share