คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4961/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ทนายโจทก์แถลงว่าหากการเจรจาประนีประนอมยอมความกันไม่ได้ ทนายโจทก์ก็จะติดต่อนัดหมายให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจฝ่ายโจทก์มาศาลด้วยตนเองเพื่อแถลงรายละเอียดให้ศาลทราบ มิฉะนั้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง เมื่อถึงวันนัดสืบพยานจำเลยแม้ผู้มีอำนาจตัดสินใจฝ่ายโจทก์ไม่มาศาล แต่ทนายโจทก์ก็ได้แถลงให้ศาลทราบแล้วถึงเหตุที่ไม่มาศาลว่าเพราะผู้มีอำนาจตัดสินใจฝ่ายโจทก์ได้พิจารณาข้อเสนอของฝ่ายจำเลยที่ขอชำระหนี้เพียง 600,000 บาท โดยขอผ่อนชำระเป็นรายเดือนให้เสร็จสิ้นภายใน 48 เดือน แล้ว ไม่อาจตกลงกันได้ จึงไม่ขอมาศาล ซึ่งหากมาศาลก็คงแถลงดังที่ทนายโจทก์แถลง เมื่อตกลงกันไม่ได้ก็ต้องสืบพยานจำเลยต่อไป ซึ่งทนายโจทก์มาศาลแล้ว ศาลสามารถสืบพยานจำเลยต่อไปได้ ดังนั้น จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดอันจะถือได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ผู้ทำสัญญาซื้อขายปูนซีเมนต์จากโจทก์ จำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ผู้ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ ร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,203,055.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ 9 ต่อปี จากเงินต้นจำนวน 923,208.96 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสี่ยื่นคำให้การต่อสู้คดี ซึ่งต่อมาหลังจากศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์เสร็จ ในวันนัดสืบพยานจำเลยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2543 ทนายคู่ความแถลงร่วมกันว่ามีความประสงค์จะประนีประนอมข้อพิพาท โดยทนายโจทก์และทนายจำเลยทั้งสี่จะติดต่อแจ้งตัวความให้กำหนดบุคคลผู้มีอำนาจตัดสินใจเป็นผู้ร่วมเจรจากันเพื่อหาข้อยุติให้ทันก่อนวันนัดหน้า หากยังไม่ได้ข้อยุติทนายโจทก์แถลงจะติดต่อนัดหมายผู้มีอำนาจตัดสินใจซึ่งเป็นผู้เจรจาฝ่ายโจทก์มาศาลด้วยตนเองเพื่อแถลงรายละเอียดให้ศาลทราบ มิฉะนั้นให้ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องส่วนทนายจำเลยทั้งสี่แถลงรับว่าจะติดต่อนัดหมายผู้มีอำนาจตัดสินใจและเป็นผู้เจรจาฝ่ายจำเลยทั้งสี่มาศาลด้วยตนเองเพื่อแถลงรายละเอียดให้ศาลทราบเช่นกัน และรับว่าจะนำพยานมาสืบในนัดหน้ามิฉะนั้นให้ถือว่าจำเลยทั้งสี่สละประเด็นข้อต่อสู้ตามคำให้การทุกข้อ ไม่ติดใจต่อสู้คดีและไม่ติดใจสืบพยาน ศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปนัดสืบพยานจำเลยในวันที่ 6 มีนาคม 2544 เวลา 9 นาฬิกา ครั้นถึงวันนัดสืบพยานจำเลยที่เลื่อนมา ทนายโจทก์แถลงว่าได้รับแจ้งจากผู้มีอำนาจตัดสินใจซึ่งเป็นผู้ดำเนินการเจรจาว่า ฝ่ายจำเลยเสนอขอชำระหนี้ 600,000 บาท ผ่อนชำระเป็นรายเดือนให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด 48 เดือน ซึ่งเห็นว่าไม่อาจตกลงกันได้ จึงไม่ขอมาศาล และคู่ความแถลงร่วมกันว่าคดียังไม่สามารถตกลงกันได้ โดยผู้มีอำนาจตัดสินใจของโจทก์ไม่เห็นชอบด้วยกับข้อเสนอของจำเลยทั้งสี่ และไม่ว่ากรณีจะเป็นเช่นไรยังต้องเสนอกรรมการผู้จัดการใหญ่ของโจทก์พิจารณาอีกครั้ง จึงขอให้ศาลมีคำสั่งเกี่ยวกับกระบวนพิจารณาต่อไป ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า เมื่อทนายโจทก์แถลงรับในนัดก่อนที่เลื่อนมาว่ายังคงมีความประสงค์ประนอมข้อพิพาท หากถึงวันนัดวันนี้คู่ความยังหาข้อยุติกันไม่ได้ตามที่แถลงก็จะติดต่อนัดหมายผู้มีอำนาจตัดสินใจแทนโจทก์ให้มาศาลด้วยตนเองเพื่อแถลงรายละเอียดให้ศาลทราบในวันนัดวันนี้ แต่ไม่มาโดยอ้างเหตุขัดข้องอันเป็นการที่โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนดเพื่อการดังกล่าวโดยทราบคำสั่งโดยชอบแล้ว จึงต้องถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องตามคำแถลงต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ให้จำหน่ายคดีโจทก์เสียจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดีโจทก์เสียจากสารบบความ โดยให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาตั้งแต่ชั้นสืบพยานจำเลย แล้วพิพากษาคดีต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษา
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องและให้จำหน่ายคดีจากสารบบความชอบแล้วหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) บัญญัติว่า ในกรณีต่อไปนี้ให้ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง คือ โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้น โดยได้ส่งคำสั่งให้แก่โจทก์โดยชอบแล้ว ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาคดีในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2543 ว่าทนายคู่ความได้แถลงร่วมกันว่ามีความประสงค์จะประนีประนอมข้อพิพาท โดยทนายโจทก์และทนายจำเลยทั้งสี่จะได้แจ้งตัวความให้กำหนดผู้มีอำนาจตัดสินใจเป็นผู้ร่วมเจรจากันเพื่อหาข้อยุติให้ทันก่อนวันนัดหน้า หากยังไม่ได้ข้อยุติทนายโจทก์ก็จะติดต่อนัดหมายผู้มีอำนาจตัดสินใจซึ่งเป็นผู้เจรจาฝ่ายโจทก์มาศาลด้วยตนเองเพื่อแถลงรายละเอียดให้ศาลทราบ มิฉะนั้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง เมื่อถึงวันนัดพิจารณาคงมาแต่ทนายโจทก์ ส่วนผู้มีอำนาจตัดสินใจฝ่ายโจทก์ไม่มาศาล ทนายโจทก์แถลงต่อศาลว่า ผู้มีอำนาจตัดสินใจฝ่ายโจทก์ได้พิจารณาข้อเสนอของฝ่ายจำเลยขอชำระหนี้เพียง 600,000 บาท โดยขอผ่อนชำระเป็นรายเดือนให้เสร็จสิ้นภายใน 48 เดือน แล้ว ไม่อาจตกลงกันได้ จึงไม่ขอมาศาล ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้วมีคำสั่งว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดโดยทราบคำสั่งโดยชอบแล้ว ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องและให้จำหน่ายคดีนั้น เห็นว่า การที่ทนายโจทก์แถลงว่าหากการเจรจาประนีประนอมยอมความกันไม่ได้ ทนายโจทก์ก็จะติดต่อนัดหมายให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจฝ่ายโจทก์มาศาลด้วยตนเองเพื่อแถลงรายละเอียดให้ศาลทราบ มิฉะนั้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง เมื่อถึงวันนัดสืบพยานจำเลยแม้ผู้มีอำนาจตัดสินใจฝ่ายโจทก์ไม่มาศาลก็ตาม แต่ทนายโจทก์ก็ได้แถลงให้ศาลทราบแล้วถึงเหตุที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจฝ่ายโจทก์ไม่มาศาลก็เพราะผู้มีอำนาจตัดสินใจฝ่ายโจทก์ได้พิจารณาข้อเสนอของฝ่ายจำเลยที่ขอชำระหนี้เพียง 600,000 บาท โดยขอผ่อนชำระเป็นรายเดือนให้เสร็จสิ้นภายใน 48 เดือน แล้ว ไม่อาจตกลงกันได้จึงไม่ขอมาศาล เมื่อคดีไม่สามารถตกลงกันได้ การที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจฝ่ายโจทก์ไม่มาศาลเพื่อแถลงรายละเอียดให้ศาลทราบด้วยตนเองตามที่ทนายโจทก์แถลงไว้ในนัดที่แล้วก็ตาม แต่ทนายโจทก์แถลงรายละเอียดการเจรจาที่ไม่สามารถตกลงกันได้ให้ศาลทราบแล้วซึ่งหากผู้มีอำนาจตัดสินใจฝ่ายโจทก์มาศาลก็คงแถลงดังที่ทนายโจทก์แถลง เมื่อตกลงกันไม่ได้ก็คงต้องสืบพยานจำเลยต่อไป ซึ่งทนายโจทก์มาศาลแล้ว ศาลสามารถสืบพยานจำเลยต่อไปได้ ดังนั้น จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนด อันจะถือได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษา

Share