คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4884/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขับรถยนต์เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ล้มลงแล้วขับรถยนต์หลบหนี เจ้าพนักงานตำรวจจึงขับรถยนต์ติดตามเพื่อจับกุม แต่จำเลยขัดขวางการจับกุมโดยขับรถยนต์ปาด ไปทางซ้ายและทางขวาจนถึงบริเวณที่เจ้าพนักงานตำรวจยืนอยู่ที่จุดสกัดจับ จำเลยก็ขับรถพุ่งเข้าใส่เจ้าพนักงานตำรวจที่ยืนอยู่นั้น การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อ กฎหมายหลายบท ไม่ใช่สองกรรมสองกระทง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำเลยฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน จำคุกไม่เกิน 5 ปี แต่ความผิดฐานดังกล่าวเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการ ตามหน้าที่และไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ดังนั้น ความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไปด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันคือต่อสู้ขัดขวางและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่โดยจำเลย ขับรถยนต์โดยประมาทชนผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายแล้วขับรถยนต์หลบหนี ร้อยตำรวจตรีปถัมภ์ สุวรรณวงษ์ กับพวกซึ่งขับรถยนต์ติดตามเพื่อนจับกุมจนทันและเรียกให้หยุดพร้อมกับขับรถจะแซงรถยนต์ของจำเลย แต่จำเลยไม่ยอมหยุดกลับขับรถยนต์เบียดรถยนต์ของร้อยตำรวจตรีปถัมภ์ไม่ให้แซงเพื่อให้พ้นการจับกุมและจำเลยได้ขับรถยนต์พุ่งเข้าชนร้อยตำรวจเอกเอกชัย แสนมะโนสิบตำรวจโทนเรศร์ แย้มกันชู และพลตำรวจจำลอง ท่างาม ซึ่งตั้งด่านสกัดจับโดยเจตนาฆ่า แต่ร้อยตำรวจเอกเอกชัยกับพวกกระโดนหลบทันจึงไม่ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษฐานต่อสู้ขัดขวางและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๑๓๘, ๒๘๙, ๘๐ ลงโทษฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน จำคุก ๙ เดือนฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน จำคุกตลอดชีวิต คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ประกอบมาตรา ๕๓ คงลงโทษฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน จำคุก ๖ เดือน ฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานจำคุก ๓๓ ปี ๔ เดือน รวมจำคุก ๓๓ ปี ๑๐ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยขับรถยนต์เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ล้มลงแล้วจำเลยได้ขับรถยนต์หลบหนีร้อยตำรวจตรีปถัมภ์กับพวกซึ่งขับรถยนต์ติดตามเพื่อจับกุม แต่ำจเลยขัดขวางการจับกุมโดยขับรถยนต์ปาดไปทางซ้ายและทางขวาจนถึงบริเวณที่ร้อยตำรวจเอกเอกชัยกับพวกยืนอยู่ที่จุดสกัดจับ จำเลยก็ขับรถพุ่งเข้าใส่ร้อยตำรวจเอกเอกชัยกับพวกซึ่งเป็นการกระทำต่อเนื่องกันโดยตลอดการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทไม่ใช่สองกรรมสองกระทง และศาลฎีกาวินิจฉัยในข้อต่อมาว่า แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยหลายกระทงและจำเลยมิได้ฎีกาในข้อนี้แต่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดดังโจทก์ฟ้องและถึงแม้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและให้ลงโทษจำเลยฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานจำคุกไม่เกิน ๕ ปี แต่ความผิดฐานดังกล่าวเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ และไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ดังนั้นความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไปด้วย ส่วนที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ ประกอบมาตรา ๘๐ โดยมิได้ระบุอนุมาตรานั้น ศาลฎีกาเห็นว่า มาตรา ๒๘๙ มีหลายอนุมาตรา แต่ละอนุมาตรามีองค์ประกอบความผิดไม่เหมือนกัน เมื่อข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความเข้าลักษณะอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามอนุมาตราใดก็ชอบที่จะระบุอนุมาตรานั้นไว้ด้วย และเห็นสมควรระบุเสียให้ชัดเจน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๘ และ ๒๘๙(๒) ประกอบมาตรา ๘๐ ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา๒๘๙(๒) ประกอบมาตรา ๘๐ ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๐ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share