คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 458/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 นำโฉนดที่ดินไปประกันตัวผู้ต้องหาต่อโจทก์โดยทำหนังสือมอบอำนาจระบุข้อความว่า ให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีอำนาจจัดการประกันตัวผู้ต้องหานำหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินพร้อมทั้งให้ถ้อยคำต่าง ๆแก่เจ้าหน้าที่ แม้จำเลยที่ 1 จะเข้าทำสัญญาในนามตนเอง มิได้ระบุว่ากระทำการแทนจำเลยที่ 2 ก็ตาม แต่ในการตีความแสดงเจตนานั้นให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 132 แสดงว่าจำเลยที่ 1มีเจตนาขอประกันตัวผู้ต้องหาแทนจำเลยที่ 2 ตามที่ได้รับมอบอำนาจมาหาได้กระทำการเป็นส่วนตัว ประกอบกับการมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันผู้ต้องหารายนี้จะต้องมีหลักประกัน และจำเลยที่ 1 ก็ได้ทำสัญญาประกันโดยมอบหลักประกันของจำเลยที่ 2ให้โจทก์ยึดถือไว้ ซึ่งจำเลยที่ 1 จะขอประกันเป็นการส่วนตัวหาได้ไม่เพราะจำเลยที่ 1 ไม่มีหลักทรัพย์เป็นประกัน จึงถือได้ว่าสัญญาประกันรายนี้จำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำแทนจำเลยที่ 2เท่านั้น จำเลยที่ 2 ต้องผูกพันรับผิดต่อโจทก์ในฐานะเป็นตัวการส่วนจำเลยที่ 1 เป็นเพียงตัวแทนหาต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2ด้วยไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาประกันตัวผู้ต้องหาไปจากความควบคุมของพนักงานอัยการแต่ให้โจทก์รับตัวไปเพื่อทำสัญญาประกันและให้โจทก์เป็นคู่สัญญา โดยนำโฉนดที่ดินซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์เป็นหลักประกัน ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดสัญญาประกันไม่สามารถนำตัวผู้ต้องหามาส่งให้โจทก์ตามกำหนดนัด ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามสัญญาประกันจำนวน 160,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นเพียงผู้รับมอบอำนาจนำหลักทรัพย์โฉนดที่ดินของจำเลยที่ 2 ไปประกันตัวผู้ต้องหากับโจทก์เท่านั้น จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 มิได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 2 เพียงแต่มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 นำโฉนดที่ดินไปวางเป็นหลักประกันในการประกันตัวผู้ต้องหาเท่านั้น ต่อมาจำเลยที่ 2 นำเจ้าพนักงานติดตามจับผู้ต้องหาส่งให้โจทก์แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองผิดสัญญาประกันแต่จำเลยที่ 2 ขวนขวายติดตามนำเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมผู้ต้องหาได้โดยเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 30,000 บาท จึงสมควรลดค่าปรับให้จำเลยที่ 2 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 160,000 บาท โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 จำนวน 130,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าปรับ30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบรับกันฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 2 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 นำโฉนดที่ดินเลขที่ 40366 และ 40367 อันเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 ไปประกันตัวนางสาววนิดา ว่องไว ผู้ต้องหา ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น และมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่รับอนุญาตกับโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอประกันตัวผู้ต้องหาดังกล่าวในนามของจำเลยที่ 1 โดยนำที่ดินตามโฉนดดังกล่าวเป็นหลักประกันและจำเลยที่ 1 ได้เข้าทำสัญญาประกันรายนี้ในนามตนเอง พร้อมกับแนบหลักประกันคือโฉนดที่ดินนั้นให้โจทก์ไว้เป็นหลักฐาน คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อแรกว่า จำเลยที่ 1 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ตามสัญญาประกันต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาที่แท้จริงขอประกันตัวผู้ต้องหาต่อโจทก์ โดยทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำการแทน อันมีข้อความระบุว่ามอบให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีอำนาจจัดการประกันตัวผู้ต้องหา โดยนำหนังสือรับรองราคาประเมินตามเครื่องหมายเลขที่ดินรวม 2 โฉนด พร้อมทั้งให้ถ้อยคำต่าง ๆ แก่เจ้าหน้าที่ได้ด้วย แม้จำเลยที่ 1 จะเข้าทำสัญญาประกันในนามตนเอง มิได้ระบุว่ากระทำการแทนจำเลยที่ 2ก็ตาม แต่ในการตีความแสดงเจตนานั้นให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษร ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 132 แสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาขอประกันตัวผู้ต้องหาแทนจำเลยที่ 2 ตามที่ได้รับมอบอำนาจมา หาได้กระทำการเป็นส่วนตัวแต่อย่างใดไม่ ประกอบกับการมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันผู้ต้องหารายนี้จะต้องมีหลักประกัน และจำเลยที่ 1ก็ได้ทำสัญญาประกันโดยมอบหลักประกันของจำเลยที่ 2 ให้โจทก์ยึดถือไว้ แสดงว่าจำเลยที่ 1 จะขอประกันเป็นการส่วนตัวหาได้ไม่เพราะจำเลยที่ 1 ไม่มีหลักทรัพย์เป็นประกัน ย่อมถือได้ว่าสัญญาประกันรายนี้จำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำการแทนจำเลยที่ 2เท่านั้น จำเลยที่ 2 จึงต้องผูกพันรับผิดต่อโจทก์ในฐานะเป็นตัวการส่วนจำเลยที่ 1 เป็นเพียงตัวแทนหาต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2ด้วยไม่และศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าที่ศาลอุทธรณ์ลดค่าปรับให้จำเลยที่ 2 เหลือเพียง 30,000 บาท นั้น นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาเป็นพับ.

Share