แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ขายนาให้จำเลยแล้วมีข้อสัญญากันว่า ต่อไปในวันข้างหน้าในระยะครบ 2 ปี เป็นจำนวน พ.ศ. 2493 หรือ 2494 ถ้าโจทก์นำเงินมาซื้อคืนได้ จำเลยจะต้องขายนาคืนให้ นั้นย่อมหมายความว่า โจทก์มีสิทธิซื้อคืนได้ภายในระยะ 2 ปี นับแต่วันทำสัญญากันนั้นเอง สุดแต่จะไปครบ 2 ปี ใน ปี พ.ศ. 2493 หรือ พ.ศ. 2494
โจทก์ฟ้องว่า ได้ไปขอซื้อนาคืนจากจำเลยในต้น พ.ศ. 2494 แต่จำเลยไม่ยอมขายคืนให้ ฯลฯ จำเลยไม่ได้ให้การกล่าวถึงหรือปฏิเสธความข้อนี้ประการใด จึงต้องถือว่าจำเลยรับในข้อเท็จจริงข้อที่โจทก์ฟ้องนี้แล้ว
โจทก์ขายนาให้จำเลยโดยมีข้อสัญญากันว่า โจทก์มีสิทธิขอซื้อคืนได้ภายในกำหนด 2 ปี ครั้นต่อมาโจทก์ได้ขอซื้อคืนภายในระยะเวลาปีอันเป็นระยะเวลาที่โจทก์มีสิทธิขอซื้อคืนได้ เมื่อจำเลยไม่ยอมขาย ย่อมถือได้ว่า จำเลยผิดสัญญา โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้ และโจทก์จะยื่นฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 2 ปีแล้วก็ได้ เพราะโจทก์ได้ขอซื้อคืนไว้ภายในระยะ 2 ปี แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ได้ขายนาให้จำเลย มีข้อสัญญาว่าภายในระยะ ๒ ปี โจทก์หาเงินมาคืนให้จำเลยได้ จำเลยจะคืนนาให้โจทก์ แต่บัดนี้โจทก์นำเงินไปชำระแก่จำเลยเพื่อขอคืนนา จำเลยไม่ยอม จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ฟ้องเมื่อเกินกำหนด ๒ ปี แล้ว ไม่มีสิทธิจะขอคืนนาได้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยรับชำระเงินจากโจทก์ แล้วคืนนาแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อสัญญามีว่า ต่อไปในวันข้างหน้า ในระยะเวลา ๒ ปี เป็นจำนวน พ.ศ. ๒๔๙๓ หรือ พ.ศ. ๒๔๙๔ ถ้าโจทก์นำเงินมาซื้อคืนได้ จำเลยจะต้องขายคืนให้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า หมายความว่า ให้ซื้อคืนได้ภายในระยะเวลา ๒ ปี พ.ศ. ๒๔๙๓ หรือ ๒๔๙๔ นั้น มุ่งหมายว่า ให้ถือเอาเวลาครบ ๒ ปี เป็นใหญ่ สุดแต่จะครบในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ หรือ ๒๔๙๔ มิฉะนั้นที่กำหนดระยะเวลาครบ ๒ ปี กันไว้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร หากจะซื้อคืนได้จนถึงสิ้นปี ๒๔๙๔ ก็จะเป็นกว่า ๒ ปี ก็ยังซื้อคืนได้
ส่วนการแปลข้อความในฟ้องของโจทก์ว่า โจทก์ได้ไปขอซื้อนาคืนจากจำเลยในต้นปี พ.ศ. ๒๔๙๔ แต่จำเลยไม่ยอมขายคืนนั้น ฟ้องข้อนี้จำเลยไม่ได้ให้การถึงหรือปฏิเสธประการใด ต้องถือว่าจำเลยรับในข้อเท็จจริงข้อนี้แล้ว จึงฟังว่าโจทก์ได้ขอซื้อคืนภายใน ๒ ปี เมื่อจำเลยไม่ยอมขาย จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยได้ จึงพิพากษายืน