คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4848/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่กฎหมายบัญญัติให้โจทก์ยังต้องมีภาระการพิสูจน์ สำหรับความผิดที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษขั้นต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้นแม้จำเลยจะให้การรับสารภาพแล้วก็ตามก็ด้วยเจตนารมณ์เพื่อให้เกิดความมั่นใจได้ว่าจำเลยคือบุคคลผู้ได้กระทำความผิดตามข้อหาที่ตน ได้ให้การรับสารภาพจริง ไม่มีการผิดตัว ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความถูกต้องและเป็นการป้องกันความผิดพลาดหรือผิดหลงอย่างอื่นอันอาจเกิดขึ้นได้ และเพราะข้อหาตามที่จำเลยรับสารภาพนั้นมีอัตราโทษสูงดังกล่าว กฎหมายจึงต้องวางมาตรการเพื่อให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ประกอบก่อนที่จะพิพากษาลงโทษจำเลย เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้มั่นคงแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอย่างใดที่จะหยิบยกข้อบกพร่องที่ไม่อาจทำลายน้ำหนักพยานหลักฐานอื่นของโจทก์มาอ้างเพื่อปฏิเสธการรับฟังพยานโจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,288, 289, 340, 340 ตรี คืนรถยนต์ของกลางแก่เจ้าของและให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 3,100 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่เจ้าของด้วย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 340 วรรคท้าย, 340 ตรี ให้ประหารชีวิตจำเลย จำเลยต้องโทษประหารชีวิตซึ่งเป็นโทษสูงสุดแล้ว เพิ่มโทษจำเลยในกรณีใช้ยานพาหระเพื่อกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี อีกไม่ได้ จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยตลอดชีวิต ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 3,100 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่เจ้าของ ส่วนคำขอที่ให้คืนของกลางแก่เจ้าของนั้น ผู้เสียหายรับว่าได้รับคืนของกลางไปแล้ว จึงให้ยกเสียข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง
โจทก์และจำเลยต่างไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…การที่กฎหมายบัญญัติให้โจทก์ยังต้องมีภาระการพิสูนจ์สำหรับความผิดที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษขั้นต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป หรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพแล้วก็ตาม ก็ด้วยเจตนารมณ์ เพื่อให้เกิดความมั่นใจได้ว่า จำเลยคือบุคคลผู้ได้กระทำความผิดตามข้อหาที่ตนได้ให้การรับสารภาพจริง ไม่มีการผิดตัว ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความถูกต้องและเป็นการป้องกันความผิดพลาดหรือผิดหลงอย่างอื่นอันอาจเกิดขึ้นได้ และเพราะข้อหาตามที่จำเลยรับสารภาพนั้นมีอัตราโทษสูงดังกล่าว กฎหมายจึงต้องวางมาตรการเพื่อให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานประกอบก่อนที่จะพิพากษาลงโทษจำเลย ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์ในคดีนี้ ซึ่งโจทก์มีผู้เสียหายมาเบิกความว่าจำคนร้ายได้ 2 คน คือนายประสิทธิ์ แก้วจีน และนายบุญลือ เกิดพร้อมทั้งโจทก์มีร้อยตำรวจโทชัยทัต เสมาทอง พนักงานสอบสวนมาเบิกความยืนยันว่านายบุญลือ เกิดพร้อม ผู้ต้องหาคนหนึ่งให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกับนายเร่ง หลวงขัน นายประสิทธิ์ แก้วจีน และจำเลยปล้นทรัพย์รายนี้ นอกจากนี้โจทก์ยังมีพันตำรวจตรีเยี่ยมแสงหิรัญ พนักงานสอบสวนผู้ทำการสอบสวนจำเลยมาเบิกความประกอบว่าจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจว่าจำเลยได้ร่วมกับนายประสิทธิ์ แก้วจีน นายบุญลือ เกิดพร้อม นายเร่ง หลวงขันและนายแกะ หรือธวัช พรมสง่า กระทำผิดคดีนี้จริงปรากฏตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.5 บันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเอกสารหมาย จ.6 และภาพถ่ายหมาย จ.7 กรณีจึงรับฟังได้โดยไม่มีข้อน่าระแวงสงสัยเป็นอย่างอื่นว่า จำเลยเป็นผู้หนึ่งที่ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยในคดีอื่น ซึ่งศาลได้พิจารณาพิพากษาลงโทษไปแล้ว และจำเลยเองก้ได้ให้การรับสารภาพตลอดมาทั้งไม่ติดใจในคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแต่ประการใด เมื่อพยานหลักฐานของโจมก์ฟังได้มั่นคงเช่นนี้แล้ว จึงไม่มีเหตุผลอย่างใดที่จะหยิบยกข้อบกพร่องอย่างอื่นมาเป็นเหตุอ้างเพื่อปฏิเสธการรับฟังพยานโจทก์ ทั้งที่ข้อตำหนิดังกล่าวไม่อาจทำลายน้ำหนักพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ให้ขาดความเชื่อถือได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยยกฟ้องโจทก์มรนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share