คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3842/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในการขายสินค้าระหว่างบริษัทโจทก์ ผู้ขายกับองค์การ ท. ผู้ซื้อบริษัทโจทก์ได้ตกลงยินยอมให้กำหนดจำนวนเงินที่จะให้เป็นค่าตอบแทนหรือค่านายหน้าให้แก่พนักงาน ขององค์การ ท. ที่ช่วยให้ขายสินค้าได้ เงินที่รับว่าจะให้นี้จึงเป็นเงินสินบนเมื่อการซื้อขายเสร็จบริบูรณ์ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ทำสัญญาขายแทนบริษัทโจทก์ได้ทำหนังสือขออนุมัติจ่ายค่านายหน้า บริษัทโจทก์ได้อนุมัติให้จ่ายค่านายหน้าได้ อันเป็นการแสดงถึงเจตนาของบริษัทโจทก์ที่จะให้จำเลยที่ 1 นำเงินไปมอบให้แก่ผู้ช่วยเหลือให้ได้ทำสัญญาซื้อขาย การกระทำของบริษัทโจทก์ถือได้ว่าบริษัทโจทก์เป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ 1 ไปกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 บริษัทโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะนำคดีมาฟ้องร้องได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ซึ่งมีหน้าที่ตำแหน่งการงานเป็นผู้จัดการทั่วไป และอยู่ในฐานะกรรมการของบริษัทโจทก์ได้ขออนุมัติสั่งจ่ายเงินค่านายหน้าในการขายสินค้าของบริษัทต่อโจทก์เป็น เงิน ๒๔๐,๐๐๐ บาท โดยให้จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นบิดาของจำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับค่านายหน้า โดยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ เพราะว่านายหน้าในเรื่องอนุมัติสั่งจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวไม่มีตัวตนอยู่ และไม่มีการขายสินค้าของบริษัทโจทก์ไม่มีการจ่ายค่านายหน้าตามที่ขออนุมัติสั่งจ่าย การขายนี้เป็นเรื่องที่มีการประมูลสู้ราคากันกับทางราชการ จึงไม่มีการเสียค่านายหน้าแต่ประการใด เป็นการหลอกลวงโจทก์และโดยการหลอกลวงเช่นว่านี้ ทำให้บริษัทโจทก์หลงเชื่ออนุมัติสั่งจ่ายเงินให้แก่จำเลยทั้งสองไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓,๓๔๑, ๓๔๒, ๓๔๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าฟ้องของโจทก์มีมูลเฉพาะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ จึงให้ประทับฟ้องไว้พิจารณาเฉพาะความผิดดังกล่าว
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑ ให้จำคุก ๑ ปี ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้อง
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ และอุทธรณ์ของโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงสั่งไม่รับ
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืน
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์รับว่าจะให้ค่านายหน้าจำนวน ๒๔๐,๐๐๐ บาทจริงเงินค่านายหน้านี้ก็คือ เงินที่จะมอบให้แก่ผู้ช่วยเหลือให้ได้มีการทำสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเงินที่รับจะให้นี้จึงเป็นเงินสินบนนั่นเอง เมื่อการซื้อขายดังกล่าวเสร็จสมบูรณ์แล้ว จำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือขออนุมัติจ่ายค่านายหน้านายสุรพงษ์ บุญคล้าย ผู้จัดการบริษัท โจทก์สั่งอนุมัติให้จ่ายค่านายหน้าจำนวนนี้ได้ พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการร่วมกันกับจำเลยที่ ๑ ในการนำสินบน (ค่านายหน้า) ไปให้พนักงานขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เพื่อช่วยเหลือให้บริษัทโจทก์ได้ทำสัญญาซื้อขายเครื่องอะไหล่โอแนนกับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยอันอาจจะถือได้แล้วว่า นายสุรพงษ์ผู้จัดการบริษัทโจทก์เป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ ๑ กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๔ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะนำคดีมาฟ้องได้พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าในการขายสินค้าบริษัทโจทก์โดยผู้มีอำนาจทำการแทน ได้ตกลงยินยอมให้กำหนดจำนวนเงินที่จะให้เป็นค่าตอบแทนให้แก่ผู้ที่ช่วยให้ขายสินค้าได้ ตามพฤติการณ์เงินค่าตอบแทน หรือเงินค่านายหน้าจำนวน ๒๔๐,๐๐๐ บาท ก็คือเงินที่จะมอบให้ผู้ช่วยเหลือให้ได้มีการทำสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และผู้ที่จะช่วยเหลือให้ได้ทำสัญญาก็ต้องเป็นพนักงานขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยนั่นเอง เงินที่รับว่าจะให้นี้จึงเป็นเงินสินบน เมื่อการซื้อขายเสร็จบริบูรณ์แล้ว จำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือขออนุมัติจ่ายค่านายหน้า บริษัทโจทก์โดยนายสุรพงษ์ บุญคล้าย ผู้ทำการแทนบริษัทโจทก์ได้อนุมัติให้จ่ายเงินจำนวน ๒๔๐,๐๐๐ บาทได้อันเป็นการแสดงถึงเจตนาของบริษัทโจทก์ที่จะให้จำเลยที่ ๑ นำเงิน ๒๔๐,๐๐๐ บาท ไปมอบให้แก่ผู้ช่วยเหลือให้ได้ทำสัญญาซื้อขาย การกระทำของบริษัทโจทก์ดังกล่าวถือได้ว่าบริษัทโจทก์เป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ ๑ ไปกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๔ บริษัทโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะนำคดีมาฟ้องร้องได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share