คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1961/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องแย้งของจำเลยพอแปลได้ว่าหากจำเลยไม่ได้เช่าที่ดินพิพาทต่อไปตามข้อต่อสู้แล้ว จำเลยขอเรียกร้องค่าเสียหายที่จำเลยลงทุนปรับปรุงที่ดินพิพาทคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องแย้งนี้จึงเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไขไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ไม่เป็นฟ้องแย้งที่จะ รับไว้พิจารณา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินของโจทก์ที่ 1และของโจทก์ที่ 2 มีกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2531เป็นต้นไป จำเลยผิดสัญญาโดยขุดดินในที่ดินที่เช่าเป็นบึงขนาดใหญ่ลึกประมาณ 2 เมตร กว้างตลอดบริเวณ เป็นการก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงบอกเลิกสัญญาเช่าจำเลยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว แต่ก็ยังคงครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดินที่เช่าตลอดมา ขอบังคับให้จำเลยและบริวารออกจากที่เช่าและส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนโจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 1,633,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยชำระค่าเสียหายตามอัตราค่าเช่าเดือนละ 20,000 บาท กับค่าขาดรายได้จากค่าตอบแทนในการให้เช่าที่ดินเดือนละ 8,333 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนโจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องสัญญาเช่าระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา จำเลยได้ลงทุนปรับปรุงที่ดินไปเป็นเงินถึง 10,000,000 บาท และมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ทั้งสองจึงมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนการเช่าให้จำเลยมีกำหนด 10 ปีตามข้อตกลง ค่าปรับพื้นที่ในที่ดินที่เช่าให้กลับคืนสู่สภาพเดิมใช้เงินไม่เกิน 100,000 บาท ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ทั้งสองไปจดทะเบียนการเช่าที่ดินพิพาทให้จำเลยมีกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ 21 เมษายน 2531 ภายใน 3 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดหากไม่ปฏิบัติขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขฟ้องแย้งโดยขอเพิ่มคำขอท้ายฟ้องแย้งอีกประการหนึ่งว่า ให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายในการที่จำเลยได้ลงทุนพัฒนาปรับปรุงที่ดินเป็นลานจอดรถ สวนหย่อมสวนดอกไม้ บึงสำราญ และลงทุนปลูกสร้างอาคารเป็นเรือนอาหารเรือนรับรอง และสวนครัว รวม 9 อาคารพร้อมตกแต่งภายในอย่างดีเป็นเงินทั้งสิ้น 10,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับคำขอเดิมให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามคำร้องขอแก้ไขฟ้องแย้งของจำเลยพอแปลได้ว่า หากไม่อาจบังคับโจทก์ทั้งสองให้จำเลยเช่าที่ดินพิพาทต่อไปได้แล้ว จำเลยก็ขอเรียกค่าเสียหายที่จำเลยลงทุนปรับปรุงที่ดินพิพาท เพราะถ้าจำเลยได้เช่าที่ดินพิพาทต่อไปตามคำขอข้อแรกแล้ว ก็ไม่มีเหตุที่จำเลยจะเรียกร้องค่าเสียหายในเรื่องนี้จากโจทก์ทั้งสองคำขอที่จำเลยขอเพิ่มเติมตามคำร้องขอแก้ไขฟ้องแย้งนี้จึงเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข กล่าวคือจะถือเป็นฟ้องแย้งก็ต่อเมื่อจำเลยถูกศาลพิพากษาขับไล่ออกจากที่ดินพิพาทเสียก่อนซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลัง หากจำเลยชนะคดีตามคำให้การและฟ้องแย้งข้อแรกแล้ว ฟ้องแย้งของจำเลยในเรื่องเรียกค่าเสียหายเนื่องจากการลงทุนปรับปรุงที่ดินพิพาทก็เป็นอันตกไป ฟ้องแย้งเช่นนี้จึงเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องแย้งเดิม และไม่เป็นฟ้องแย้งที่จะรับไว้พิจารณา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ยกคำร้องขอแก้ไขฟ้องแย้งของจำเลยโดยวินิจฉัยว่าคำขอเรียกค่าเสียหายของจำเลยเป็นคำขอที่มิได้อาศัยสัญญาเช่ามาบังคับ จึงไม่เกี่ยวกับฟ้องแย้งเดิมนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share