แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ชาย 3 คนขับรถจักรยานยนต์ตามรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปในทางเปลี่ยวในเวลากลางคืน และขณะที่รถสวนกันเพราะผู้เสียหายกลับรถแล่นย้อนไปตามทางเดิม ชายคนหนึ่งซึ่งถือวัตถุสีดำตะโกนให้ผู้เสียหายหยุดรถยังไม่อาจทราบความประสงค์อันแท้จริงของชายทั้งสามว่าประสงค์ต่อทรัพย์หรือไม่และยังไม่เป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานปล้นทรัพย์ การกระทำของชายทั้งสามยังห่างไกลต่อผลคือการได้ทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งของผู้เสียหายไป จึงถือไม่ได้ว่าชายทั้งสามได้ลงมือกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกอีก ๑ คน ร่วมกันพยายามปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย โดยมีและใช้อาวุธปืนและใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อกระทำผิด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓, ๘๐, ๘๓, ๓๔๐, ๓๔๐ ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๔ ข้อ ๑๔, ๑๕ และริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐ วรรคสอง, ๓๔๐ ตรี, ๘๐, ๘๓ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๔, ๑๕ ให้จำคุกคนละ ๑๒ ปี ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง คืนของกลางแก่เจ้าของ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้ความจากผู้เสียหายและภริยาว่ามีรถจักรยานยนต์แล่นตามรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปตั้งแต่โค้งบ้านโพธิ์จนถึงตลาดท่าเสด็จและสะพานแห่งหนึ่ง เมื่อผู้เสียหายเลี้ยวรถกลับตลาดท่าเสด็จรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวก็แล่นติดตามอีก และขณะรถรถสวนกันที่บริเวณสะพาน ชายที่นั่งท้ายสุดซึ่งถือวัตถุสีดำยาวประมาณ ๑ คืบ ตะโกนบอกให้ผู้เสียหายหยุดรถ เห็นว่าพฤติการณ์ของชาย ๓ คนที่ขับและซ้อนรถจักรยานยนต์ตามรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายและสั่งให้ผู้เสียหายหยุดรถตามที่โจทก์นำสืบมานั้น ยังถือไม่ได้ว่าชายทั้งสามได้ลงมือกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์แล้วดังโจทก์ฟ้อง เพราะชายที่ถือวัตถุสีดำดังกล่าวเพียงแต่ตะโกนให้ผู้เสียหายหยุดรถเท่านั้น จึงยังไม่อาจทราบความประสงค์อันแท้จริงของชายทั้งสามได้ว่าประสงค์ต่อทรัพย์หรือไม่ และยังไม่เป็นการขู่เข็นว่าในทันทีทันใดจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายกับพวกอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานปล้นทรัพย์แต่อย่างใด การกระทำของชายทั้งสามยังห่างไกลต่อผลคือการได้ทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งของผู้เสียหายไป ย่อมไม่เป็นความผิดตามฟ้อง จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองคือชายสองในสามคนที่นั่งบนรถจักรยานยนต์คันที่แล่นตามรถผู้เสียหายหรือไม่อีกต่อไป ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน