คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4833/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ทางนำสืบของจำเลยจะแตกต่างกับคำให้การของจำเลยในเรื่องจำเลยซื้อที่พิพาทจาก ก. หรือซื้อจาก ย. ผ่าน ก. แต่ประเด็นข้อพิพาทตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดมีว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ ไม่ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยซื้อที่พิพาทจาก ก. หรือไม่ ข้อที่โจทก์กับจำเลยโต้แย้งกันคือ จำเลยเข้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของ ก. หรืออาศัยสิทธิของจำเลยเองในฐานะผู้ซื้อที่พิพาท ดังนั้นไม่ว่าจำเลยจะซื้อที่พิพาทจาก ย. โดยชำระเงินผ่าน ก. หรือ ก. ซื้อที่ดินจาก ย. แล้วแบ่งที่พิพาทขายให้จำเลย ก็เป็นกรณีที่จำเลยนำสืบอ้างว่าได้เข้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยเองในฐานะผู้ซื้อที่พิพาทเช่นกัน การนำสืบของจำเลยจึงอยู่ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไม่ถึงกับเป็นเหตุให้รับฟังไม่ได้ ส่วนจะมีน้ำหนักน่าเชื่อหรือไม่เพียงใดเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 16550 ตำบลหนองไม้แดง (บางทราย) อำเภอเมืองชลบุรีจังหวัดชลบุรี พร้อมกับชำระค่าเสียหาย 2,000 บาท และค่าเสียหายเป็นรายเดือน ๆ ละ2,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไป

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยปลูกบ้านเลขที่ 96 อยู่อาศัยในที่ดินพิพาทเรื่อยมาถึงปัจจุบันโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านเป็นเวลากว่า 10 ปี จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินด้วยการครอบครองปรปักษ์ การที่นางกิมหลียกที่ดินให้โจทก์ทั้งสามโดยเสน่หา ไม่มีค่าตอบแทน เป็นเหตุให้จำเลยผู้อยู่ในฐานะจะให้จดทะเบียนสิทธิของจำเลยในที่ดินดังกล่าวได้อยู่ก่อนเสียเปรียบ ขอให้ยกฟ้องและเพิกถอนการจดทะเบียนยกให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 16550 กับพิพากษาหรือสั่งให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว

ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยเสียค่าธรรมเนียมตามจำนวนทุนทรัพย์ในส่วนฟ้องแย้งแต่จำเลยไม่เสีย ศาลชั้นต้นจึงไม่รับฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 96 หมู่ที่ 2 ถนนสุขุมวิท ตำบลหนองไม้แดง อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี และขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 16550 ตำบลหนองไม้แดง (บางทราย)อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 800 บาท แก่โจทก์นับแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2535 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินดังกล่าวเสร็จ คำขออื่นให้ยก

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า การที่จำเลยให้การว่า จำเลยซื้อที่พิพาทจากนางกิมหลี แต่กลับนำสืบว่าจำเลยซื้อที่พิพาทจากนายย่อมโดยตรงนั้นเป็นการนำสืบนอกเหนือไปจากคำให้การจึงรับฟังไม่ได้หรือไม่ คดีนี้จำเลยให้การว่า นางกิมหลีซื้อที่ดินมาจากนายย่อมแล้วแบ่งที่พิพาทขายให้จำเลย แต่จำเลยนำสืบว่า นางกิมหลีและจำเลยซื้อที่ดินจากนายย่อมโดยจำเลยชำระค่าที่พิพาทให้นายย่อมผ่านนางกิมหลี เห็นว่า แม้ทางนำสืบของจำเลยจะแตกต่างกับคำให้การของจำเลยในเรื่องจำเลยซื้อที่พิพาทจากนางกิมหลีหรือซื้อจากนายย่อมผ่านนางกิมหลี แต่ประเด็นข้อพิพาทตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดมีว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ ไม่ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยเข้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของนางกิมหลีหรืออาศัยสิทธิของจำเลยเองในฐานะผู้ซื้อที่พิพาท ดังนั้นไม่ว่าจำเลยจะซื้อที่พิพาทจากนายย่อมโดยชำระเงินผ่านนางกิมหลีหรือนางกิมหลีซื้อที่ดินจากนายย่อมแล้วแบ่งที่พิพาทขายให้จำเลย ก็เป็นกรณีที่จำเลยนำสืบอ้างว่าได้เข้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยเองในฐานะผู้ซื้อที่พิพาทเช่นกัน การนำสืบของจำเลยจึงอยู่ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนด ไม่ถึงกับเป็นเหตุให้รับฟังไม่ได้ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย ส่วนจะมีน้ำหนักน่าเชื่อหรือไม่เพียงใดเป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะต้องชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยต่อไปฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น อย่างไรก็ตามคู่ความได้นำสืบพยานหลักฐานจนสิ้นกระแสความแล้วศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยชี้ขาดคดีตามฎีกาของจำเลยต่อไป โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยก่อน…”

พิพากษายืน

Share