แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยถมดินและปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์เนื้อที่ประมาณ 80 ตารางวา ต่อมาจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ โดยจำเลยขอเช่าที่ดินส่วนที่รุกล้ำโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาการเช่า และจะยอมรื้อถอนออกไปเมื่อโจทก์ต้องใช้ประโยชน์ แต่จำเลยไม่ยอมรื้อถอนโรงเรือนออกไปภายในระยะเวลาที่โจทก์กำหนด ขอให้ศาลบังคับจำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกจากที่ดินของโจทก์และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยเคยเช่าที่ดินของโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความจริง แต่เป็นการเช่าที่ดินคนละแปลงกับที่ดินที่จำเลยครอบครองและปลูกบ้าน ที่ดินที่จำเลยครอบครองและปลูกบ้านมีเนื้อที่ประมาณ 150 ตารางเมตร อยู่นอกเขตที่ดินที่เช่าและนอกเขตที่ดินของโจทก์ ที่ดินที่จำเลยครอบครองจึงไม่เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทที่โจทก์ฟ้อง แม้จำเลยจะครอบครองที่ดินมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกับเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ก็ไม่มีผลให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทที่โจทก์ฟ้อง ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้
จำเลยให้การตอนแรกว่า จำเลยเคยเช่าที่ดินของโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความจริง แต่เป็นการเช่าที่ดินคนละแปลงกับที่ดินที่จำเลยครอบครองและปลูกบ้านและเป็นการเช่าที่ดินเนื้อที่เพียง 5 ตารางวา มิใช่ประมาณ 80 ตารางวา ต่อมาทางราชการได้ขยายเขตถนนสาธารณะครอบที่ดินที่เช่าทั้งหมด สัญญาประนีประนอมยอมความจึงสิ้นผลบังคับไป โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ดินที่จำเลยครอบครองและปลูกบ้านมีเนื้อที่ประมาณ 150 ตารางวา อยู่นอกเขตที่ดินที่เช่าและนอกเขตที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยให้การในตอนหลังว่า ถึงอย่างไรจำเลยก็ครอบครองที่ดินพิพาทด้วยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี หากศาลจะฟังว่าที่ดินที่จำเลยครอบครองอยู่ในโฉนดที่ดินของโจทก์ จำเลยก็ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว คำให้การของจำเลยในประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ขัดแย็งกันไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ แต่เป็นที่เข้าใจได้ว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยสิ้นเชิง ตามคำฟ้องและคำให้การของจำเลยจึงไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติได้ ศาลจำต้องฟังพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยเสียก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนมกราคม 2536 จำเลยถมดินลูกรังและปลูกโรงเรือนเลขที่ 87 หมู่ที่ 1 ตำบลดงลคร อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก รุกล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดเลขที่ 5317 ของโจทก์ทางด้านทิศใต้เป็นเนื้อที่ประมาณ 80 ตารางวา ต่อมาวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2536 จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ โดยจำเลยขอเช่าที่ดินส่วนที่รุกล้ำดังกล่าวในอัตราค่าเช่าปีละ 300 บาท โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาการเช่า หากโจทก์มีความจำเป็นต้องใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว จำเลยจะรื้อถอนโรงเรือนที่รุกล้ำออกไปและให้ถือว่าสัญญาเป็นอันระงับ ตามสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ต่อมาโจทก์ต้องการใช้ประโยชน์ในที่ดินจึงบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ภายในกำหนด 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าว จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้วเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะโจทก์สามารถนำที่ดินดังกล่าวออกให้บุคคลอื่นเช่าซึ่งจะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ 200 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนโรงเรือนเลขที่ 87 หมู่ที่ 1 ตำบลดงลคร อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก ออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวต่อไป ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 200 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยเคยเช่าที่ดินของโจทก์ตามสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 จริง แต่เป็นการเช่าที่ดินคนละแปลงกับที่ดินที่จำเลยครอบครองและปลูกบ้านเลขที่ 87 หมู่ที่ 1 และเป็นการเช่าที่ดินเนื้อที่เพียง 5 ตารางวา มิใช่ประมาณ 80 ตารางวา ต่อมาปี 2543 ทางราชการได้ขยายเขตถนนสาธารณะครอบที่ดินที่เช่าทั้งหมด ทำให้ที่ดินที่เช่าสิ้นสภาพที่จำเลยจะใช้ประโยชน์จากการเช่าต่อไป สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงสิ้นผลบังคับไปโดยปริยาย โจทก์ไม่มีอำนาจบังคับจำเลยตามสัญญาดังกล่าวจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ดินที่จำเลยครอบครองและปลูกบ้านเลขที่ 87 มีเนื้อที่ประมาณ 150 ตารางวา ราคาประมาณ 60,000 บาท อยู่นอกเขตที่ดินที่เช่าและนอกเขตที่ดินของโจทก์ จำเลยได้ครอบครองมาโดยความสงบ และโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ แม้หากศาลจะฟังว่าเป็นที่ดินที่อยู่ในโฉนดที่ดินตามฟ้องของโจทก์ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิขอให้ศาลบังคับจำเลยตามฟ้องได้ ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นที่ตั้งของบ้านเลขที่ 87 หมู่ที่ 1 ตำบลดงลคร อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก เนื้อที่ประมาณ 150 ตารางวา ตามแผนที่สังเขปเอกสารท้ายคำให้การและฟ้องแย้ง และห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การของจำเลย ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม จึงไม่รับฟ้องแย้งของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดแก่จำเลย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีวินิจฉัยได้โดยไม่จำเป็นที่จะให้คู่ความนำพยานหลักฐานเข้าสืบ จึงให้งดสืบพยานและพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนโรงเรือนเลขที่ 87 หมู่ที่ 1 ออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 5317 ตำบลดงลคร อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายกของโจทก์ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 300 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์เสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 500 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกมีว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยถมดินลูกรังและปลูกสร้างโรงเรือนเลขที่ 87 หมู่ที่ 1 ตำบลดงลคร อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก รุกล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดเลขที่ 5317 ตำบลดงลคร อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก ของโจทก์เป็นเนื้อที่ประมาณ 80 ตารางวา ต่อมาจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์โดยจำเลยขอเช่าที่ดินส่วนที่รุกล้ำดังกล่าวในอัตราค่าเช่าปีละ 300 บาท โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาการเช่า และจะยอมรื้อถอนโรงเรือนที่รุกล้ำออกไปเมื่อโจทก์มีความจำเป็นต้องใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแต่จำเลยไม่ยอมรื้อถอนโรงเรือนออกไปภายในระยะเวลาที่โจทก์กำหนด จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนโรงเรือนเลขที่ 87 หมู่ที่ 1 ออกจากที่ดินของโจทก์และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยเคยเช่าที่ดินของโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความจริง แต่เป็นการเช่าที่ดินคนละแปลงกับที่ดินที่จำเลยครอบครองและปลูกบ้านเลขที่ 87 หมู่ที่ 1 ที่ดินที่จำเลยครอบครองและปลูกบ้านเลขที่ 87 หมู่ที่ 1 มีเนื้อที่ประมาณ 150 ตารางวา อยู่นอกเขตที่ดินที่เช่าและนอกเขตที่ดินของโจทก์ ที่ดินที่จำเลยครอบครองดังที่ให้การต่อสู้จึงหาได้เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทที่โจทก์ฟ้องไม่ แม้จำเลยจะครอบครองที่ดินดังกล่าวมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลากินกว่า 10 ปี ก็หามีผลทำให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทที่โจทก์ฟ้องไม่ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกัน ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนนั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า คำให้การของจำเลยเป็นคำให้การที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง หรือไม่ และที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง บัญญัติว่า “ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น” จำเลยให้การตอนแรกว่า จำเลยเคยเช่าที่ดินของโจทก์ตามสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 จริง แต่เป็นการเช่าที่ดินคนละแปลงกับที่ดินที่จำเลยครอบครองและปลูกบ้านเลขที่ 87 หมู่ที่ 1 และเป็นการเช่าที่ดินเนื้อที่เพียง 5 ตารางวา มิใช่ประมาณ 80 ตารางวา ต่อมาปี 2543 ทางราชการได้ขยายเขตถนนสาธารณะครอบที่ดินที่เช่าทั้งหมด ทำให้ที่ดินที่เช่าสิ้นสภาพที่จำเลยจะใช้ประโยชน์จากการเช่าต่อไป สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงสิ้นผลบังคับไปโดยปริยาย โจทก์ไม่มีอำนาจบังคับจำเลยตามสัญญาดังกล่าวจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ดินที่จำเลยครอบครองและปลูกบ้านเลขที่ 87 หมู่ที่ 1 มีเนื้อที่ประมาณ 150 ตารางวา อยู่นอกเขตที่ดินที่เช่าและนอกเขตที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยกลับให้การในตอนหลังว่า ถึงอย่างไรจำเลยก็ครอบครองที่ดินที่ปลูกบ้านเลขที่ 87 หมู่ที่ 1 อันเป็นที่ดินพิพาทด้วยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี หากศาลจะฟังว่าที่ดินที่จำเลยครอบครองอยู่ในโฉนดที่ดินของโจทก์ จำเลยก็ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว คำให้การของจำเลยในประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ขัดแย้งกันเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ แต่คำให้การของจำเลยดังกล่าวก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยสิ้นเชิงว่า ที่ดินที่เช่าตามสัญญาประนีประนอมยอมความมีเนื้อที่เพียง 5 ตารางวา มิใช่ประมาณ 80 ตารางวา ที่ดินที่ปลูกบ้านเลขที่ 87 หมู่ที่ 1 ไม่ได้อยู่ในที่ดินพิพาทและสัญญาประนีประนอมยอมความสิ้นผลผูกพันแล้ว คดีคงมีประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์มีเนื้อที่เพียงใด ที่ดินที่ปลูกบ้านเลขที่ 87 หมู่ที่ 1 อยู่ในที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์ตามสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 หรือไม่ และสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวยังมีผลผูกพันคู่กรณีหรือไม่ ตามคำฟ้องและคำให้การของจำเลยไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติได้ว่าที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์มีเนื้อที่เพียงใด ที่ดินที่ปลูกบ้านเลขที่ 87 หมู่ที่ 1 อยู่ในที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์ตามสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 หรือไม่ และสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวยังมีผลผูกพันคู่กรณีอยู่หรือไม่ ศาลจำต้องฟังพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคำให้การของจำเลยไม่มีประเด็นที่คู่ความจะต้องนำสืบ จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย และรับฟังข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานใหม่เฉพาะในประเด็นที่ว่า ที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์มีเนื้อที่เพียงใด ที่ดินที่ปลูกบ้านเลขที่ 87 หมู่ที่ 1 อยู่ในที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์ตามสำเนาประนีประนอมยอมความเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 หรือไม่ และสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ยังมีผลผูกพันคู่กรณีอยู่หรือไม่ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรเนียมในชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่