คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4831/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คู่ความจะฎีกาได้หรือไม่ ต้องพิเคราะห์ตามบทกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันที่ 8 ตุลาคม2534 ผู้คัดค้านยื่นฎีกาวันที่ 18 พฤศจิกายน 2534 เมื่อราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคแรก ที่แก้ไขใหม่ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2534

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอและแก้ไขคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 8191 ตำบลหนองขนาน อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี โดยการครอบครองปรปักษ์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 8191 ตำบลหนองขนาน อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรีทั้งแปลง ขอให้มีคำสั่งแสดงกรรมสิทธิ์และยกคำร้องขอของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 8191 ตำบลหนองขนานอำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายผลสุขสบาย ผู้คัดค้านโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้คัดค้าน โดยกำหนดค่าทนายความให้ 2,000 บาท และให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 8191 ตำบลหนองขนาน อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ส่วนที่นางเลียบสุขปลั่ง ถือกรรมสิทธิ์ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ยกคำคัดค้านของผู้คัดค้าน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534มาตรา 18 บัญญัติว่า “ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง…ฯลฯ”แม้ขณะที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม2534 บทบัญญัติดังกล่าวจะยังไม่มีผลใช้บังคับตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534มาตรา 2 ก็ตาม แต่ขณะที่ผู้คัดค้านยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน2534 บทบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับแล้ว ผู้คัดค้านจะฎีกาได้หรือไม่ต้องพิเคราะห์ตามบทกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะยื่นฎีกา คดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 วรรคแรก ที่แก้ไขใหม่ดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานของผู้ร้องมีเหตุผลและน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่าของผู้คัดค้าน พฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่พิพาทเฉพาะส่วนของนางเลียบ สุขปลั่ง โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปีได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทส่วนดังกล่าว ผู้คัดค้านฎีกาว่า พยานผู้ร้องเบิกความขัดกันและเบิกความว่าผู้คัดค้านเข้าไปทำนาในที่พิพาทอันเป็นการเจือสมกับพยานผู้คัดค้าน และพยานผู้คัดค้านเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า ผู้คัดค้านเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทสืบต่อจากนางเลียบตลอดมา ผู้ร้องอ้างว่านายไข่ เสือนาค ยกที่พิพาทให้แก่ผู้ร้องแต่ผู้ร้องไม่ได้นำสืบนายไข่พยานผู้คัดค้านมีน้ำหนักดีกว่าพยานผู้ร้อง ฎีกาของผู้คัดค้านเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของผู้คัดค้านเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของผู้คัดค้าน

Share