แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การพิจารณาว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่ มิใช่พิจารณาเฉพาะคำขอท้ายฟ้องของโจทก์เพียงอย่างเดียว แต่จะต้องพิจารณาคำให้การของจำเลยประกอบด้วย โจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาททั้งสี่แปลง จำเลยขอออกโฉนดที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงโดยมิชอบ ขอให้จำเลยไปเพิกถอนคำขอออกโฉนดที่ดินพิพาท จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาททั้งสี่แปลง โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยไปเพิกถอนการขอออกโฉนดดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง คำให้การของจำเลยถือว่าเป็นการกล่าวแก้ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ แม้โจทก์จะมีคำขอให้จำเลยไปเพิกถอนคำขอออกโฉนดที่ดินพิพาท ก็เป็นผลต่อเนื่องมาจากประเด็นในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปเพิกถอนคำขอออกโฉนดที่ดินลงวันที่ 12 เมษายน 2550 ของจำเลย หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินในศาลชั้นต้นแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบรับกันฟังได้ว่า ที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลง เป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) อยู่ในเขตสุสานสวรรค์คีรี ตำบลหนองปลาไหล อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี ซึ่งมูลนิธิจำเลยได้รับอนุญาตให้จัดตั้งและดำเนินการ มีจำเลยเป็นเจ้าของโดยซื้อมาจากชาวบ้าน แต่ให้โจทก์ซึ่งเคยจัดการดูแลสุสานดังกล่าวมาก่อนเป็นผู้ดำเนินการ ปี 2549 จำเลยขอออกโฉนดสำหรับที่ดินทั้ง 4 แปลง โจทก์คัดค้านตามสำเนาบันทึกถ้อยคำ แต่หลังจากสอบสวนเปรียบเทียบตามประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว เจ้าพนักงานที่ดินมีคำสั่งให้ออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิขอให้จำเลยไปเพิกถอนคำขอออกโฉนดที่ดินดังกล่าวหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า เหตุที่โจทก์คัดค้านการขอออกโฉนดสำหรับที่ดินทั้ง 4 แปลง ของจำเลย เพราะโจทก์เป็นผู้พัฒนาที่ดินดังกล่าวเพียงผู้เดียวโดยจำเลยไม่เคยเข้ามาครอบครองทำประโยชน์หรือพัฒนาที่ดินเลย โดยมีนายวิรัช กำนันตำบลหนองปลาไหล และนายประกาศิต ผู้เคยติดต่อซื้อที่ดินสุสานสวรรค์คีรีเป็นที่ฝังศพบิดา เป็นพยานสนับสนุนว่าโจทก์เป็นผู้จัดการดูแลสุสานและที่พิพาทเพียงผู้เดียว แต่จำเลยมีนายมงคล ประธานกรรมการมูลนิธิจำเลยเป็นพยานเบิกความประกอบเอกสารต่างๆ ที่จำเลยอ้างส่งศาลสรุปได้ว่าเนื่องจากจำเลยเห็นว่าโจทก์ดำเนินการสุสานสวรรค์คีรีอยู่ก่อน เมื่อจำเลยได้รับอนุญาตให้ดำเนินการสุสานสวรรค์คีรีแล้ว จำเลยจึงให้โจทก์เป็นผู้ดูแลและดำเนินกิจการสุสานแทนจำเลยต่อไป เห็นว่า ตามสำเนาหนังสือขอต่อใบอนุญาตจัดตั้งและใบอนุญาตเป็นผู้จัดการบำรุงรักษาสุสานและฌาปนสถาน สำเนาหนังสือรับเป็นผู้ถือที่ดินแทนมูลนิธิชั่วคราว สำเนาหนังสือมอบอำนาจให้นำชี้และรังวัดที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดิน สำเนาหนังสือมอบอำนาจให้ซื้อที่ดินไม่มีสิ่งปลูกสร้าง สำเนาคำขอให้สอบเขตที่ดินและสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดิน ที่จำเลยอ้างส่งศาลนั้น มีสาระสำคัญว่าโจทก์ได้กระทำการตามเนื้อความในเอกสารดังกล่าวในนามของจำเลยทั้งสิ้น หาใช่กระทำในนามส่วนตัวไม่ พยานเอกสารของจำเลยจึงสอดคล้องรับสมกับคำเบิกความของนายมงคล ประธานกรรมการมูลนิธิจำเลยเป็นอย่างดี ทั้งยังเจือสมกับคำเบิกความของนายณรงค์ ปลัดอำเภอเมืองสระบุรี พยานโจทก์ที่เบิกความว่าโจทก์มาขออนุญาตเป็นผู้ดูแลสุสานสวรรค์คีรีในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากผู้จัดการดูแลสุสานอีก ข้อเท็จจริงจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ตามที่จำเลยนำสืบว่า โจทก์เป็นเพียงผู้จัดการดูแลสุสานสวรรค์คีรีแทนจำเลยผู้ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งและดำเนินการสุสานเท่านั้น หาใช่ผู้จัดการดูแลสุสานในนามของตนเองดังที่กล่าวอ้างในฟ้องไม่ เมื่อโจทก์เป็นเพียงตัวแทนของจำเลย โจทก์ก็ย่อมไม่มีสิทธิคัดค้านการขอออกโฉนดสำหรับที่ดินพิพาทของจำเลยผู้เป็นเจ้าของที่ดินที่แท้จริงได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต่อไปมีว่า คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า การพิจารณาว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่ มิใช่พิจารณาเฉพาะคำขอท้ายฟ้องของโจทก์เพียงอย่างเดียว แต่จะต้องพิจารณาคำให้การของจำเลยประกอบด้วย โจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาททั้งสี่แปลง จำเลยขอออกโฉนดที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงโดยมิชอบ ขอให้จำเลยไปเพิกถอนคำขอออกโฉนดที่ดินพิพาท จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาททั้งสี่แปลง โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยไปเพิกถอนการขอออกโฉนดดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง คำให้การของจำเลยถือว่าเป็นการกล่าวแก้ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ในปัญหาแรกว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยที่โจทก์เป็นผู้ดูแลแทนแล้ว ดังนั้นคดีนี้จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 (1) (ก) เดิม ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แม้โจทก์จะมีคำขอให้จำเลยไปเพิกถอนคำขอออกโฉนดที่ดินพิพาท ก็เป็นผลต่อเนื่องมาจากประเด็นในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเท่านั้น ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ