แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะสำเนาหนังสือสัญญาเช่าเอกสารท้ายฟ้อง มีข้อความบางตอนบางส่วนขาดหายไปตารางต่อท้ายสัญญาเช่าไม่ชัดเจน ไม่อาจอ่านข้อความในสัญญาได้ทำให้ไม่สามารถต่อสู้คดีได้ถูกต้อง แต่ในชั้นฎีกา จำเลยกลับฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้บรรยายบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาเช่า เมื่อสัญญาเช่าดังกล่าวไม่ใช่สัญญาเช่าธรรมดา แต่เป็นสัญญาเช่าซื้อ ซึ่งมีกฎหมายบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือจึงจะฟ้องร้องบังคับกันได้ โจทก์จึงต้องแนบสัญญาและข้อตกลงเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาเช่าในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ การที่โจทก์มิได้ปฏิบัติ เป็นเหตุให้จำเลยไม่อาจต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมนั้น เป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น และไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยไม่มีข้อกำหนดตอนใดที่แสดงว่าคู่สัญญาได้ตกลงซื้อหรือเช่าซื้อทรัพย์สินที่เช่า และให้ถือเอาค่าเช่าที่ชำระเป็นส่วนหนึ่งของราคาทรัพย์ที่เช่า รวมทั้งไม่มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าให้แก่กันมาตั้งแต่เริ่มแรกดังสัญญาเช่าซื้อ จึงเป็นสัญญาเช่าทรัพย์แบบหนึ่ง มิใช่เป็นสัญญาเช่าซื้อ
สัญญาเช่าทรัพย์เป็นสัญญาต่างตอบแทนที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงกันด้วยความสมัครใจให้ข้อกำหนดของสัญญาบางข้อแตกต่างไปจากบทบัญญัติของกฎหมาย อันเป็นการรักษาสิทธิและประโยชน์ของตนที่ชอบในเชิงธุรกิจ แม้อาจมีข้อที่ได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันบ้างและแตกต่างไปจากบทบัญญัติของกฎหมาย แต่ก็มิใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน สัญญาดังกล่าวใช้บังคับได้ คู่สัญญาจึงต้องผูกพันตามข้อสัญญานั้น การที่โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยทั้งสามตามสัญญาจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ให้สินเชื่อประเภทให้เช่าซื้อและให้เช่าทรัพย์แบบลิสซิ่ง จำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2539 จำเลยที่ 1 ขอให้โจทก์ซื้อชุดเครื่องผสมคอนกรีตจากบริษัท บี.เอ็น.เค. เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เพื่อให้จำเลยที่ 1 เช่าจากนั้นเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2539 จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าเครื่องผสมคอนกรีตดังกล่าวจากโจทก์ โดยตกลงว่าเช่าเป็นระยะเวลา 48 เดือน ค่าเช่าเดือนละ 79,200 บาท ชำระค่าเช่าภายในวันที่ 2 พฤษภาคม 2539 และทุกวันที่ 2 ของเดือนถัดไป หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งถือว่าผิดสัญญาเช่า ยอมชำระค่าเช่าทั้งหมด และเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ และหากสัญญาเช่าสิ้นสุดก่อนระยะเวลาเช่าเพราะความผิดของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ยอมชำระค่าปรับหนึ่งในสิบของราคาค่าเช่าที่เหลือ โดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดดย่างลูกหนี้ร่าม ต่อมาเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2540 จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าแก่โจทก์ สัญญาเลิกแล้วแต่จำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าคืนทำให้โจทก์เสียหายขอให้บังคับจำเลยทั้งสามส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าคืนหรือใช้ราคา 1,133,774 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบหรือใช้ราคาให้แก่โจทก์เสร็จ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้ค่าเช่าที่ค้างชำระ 2,296,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และชำระหนี้เบี้ยปรับ 529,900 บาท พร้อมทั้งเบี้ยปรับวันละ 100 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การทำนองเดียวกันว่า สัญญาเช่าแบบลิสซิ่งต้องทำเป็นหนังสือ แต่ตามสัญญาเช่านั้นกรรมการโจทก์ และกรรมการของจำเลยที่ 1 และที่ 3 หรือผู้มีอำนาจทำแทนไม่ได้ลงลายมือชื่อ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสาม ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 ที่เป็นสัญญาเช่ามีข้อความบางตอนขาดหายไปและไม่ชัดเจน ตารางต่อท้ายสัญญาเช่าไม่ครบถ้วน ไม่สามารถอ่านให้เข้าใจได้ ทำให้ไม่อาจต่อสู้คดีได้ถูกต้อง จำเลยที่ 1 ติดต่อขอส่งมอบทรัพย์สินเช่าคืนแล้ว โจทก์ไม่ยอมรับ และสัญญาเช่าเป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรมเพราะเอาเปรียบผู้เช่าไม่ให้จำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาได้ นอกจากนั้นในสัญญายังกำหนดว่าหากผิดนัดไม่ชำระค่าเช่างวดใดงวดหนึ่งถือว่าผิดสัญญาเช่า จำเลยที่ 1 ต้องชำระค่าเช่าให้โจทก์ทุกงวดต้องเสียเบี้ยปรับและดอกเบี้ยด้วย ค่าเสียหายจึงซ้ำซ้อนและสูงเกินส่วน จำเลยทั้งสามไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายต่างๆ ตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามคืนชุดเครื่องจักรผสมคอนกรีตที่เช่าแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 1,133,774 บาท ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 695,680 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 ตุลาคม 2542) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาทเฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามประการแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้ในประเด็นเรื่องนี้ทำนองเดียวกันว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะสำเนาหนังสือสัญญาเช่าเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 มีข้อความบางตอนบางส่วนขาดหายไป ตารางต่อท้ายสัญญาเช่าไม่ชัดเจน ไม่อาจอ่านข้อความในสัญญาได้ทำให้ไม่สามารถต่อสู้คดีได้ถูกต้อง แต่ในชั้นฎีกา จำเลยทั้งสามกลับฎีกาในประเด็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุมว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาเช่า เมื่อสัญญาเช่าดังกล่าวไม่ใช่สัญญาเช่าธรรมดา แต่เป็นสัญญาเช่าซื้อ ซึ่งมีกฎหมายบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือจึงจะฟ้องร้องบังคับกันได้ โจทก์จึงต้องแนบสัญญาและข้อตกลงเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาเช่าในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ การที่โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติ เป็นเหตุให้จำเลยทั้งสามไม่อาจต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมนั้น เป็นข้อที่จำเลยทั้งสามมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น และไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยทั้งสามฎีกาประการต่อไปว่า สัญญาพิพาทตามเอกสารหมาย จ.6 เป็นสัญญาเช่าซื้อเพราะมีข้อกำหนดและเงื่อนไขในสัญญาเข้าลักษณะเป็นสัญญาเช่าซื้อ มิใช่สัญญาเช่าแบบลิสซิ่ง จึงต้องนำบทกฎหมายในเรื่องเช่าซื้อมาปรับแก่คดีนั้น ศาลฎีกาได้พิเคราะห์สัญญาเช่าตามเอกสารหมาย จ.6 และตารางต่อท้ายสัญญาเช่าตามเอกสารหมาย จ.7 แล้ว เห็นว่า สัญญาเช่าตามเอกสารหมาย จ.6 ดังกล่าว มีข้อกำหนดและเงื่อนไขในข้อสาระสำคัญที่เข้าลักษณะเป็นสัญญาเช่าทรัพย์ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 มีการกำหนดทรัพย์สินที่เช่าไว้ในตารางต่อท้ายสัญญาเช่า ข้อ 2 มีกำหนดเวลาการเช่า ข้อ 3 มีการกำหนดค่าเช่าที่จะต้องชำระเป็นรายเดือนตามอัตราที่ระบุไว้ในตารางต่อท้ายสัญญาเช่า ข้อ 4 มีกำหนดในเรื่องการต่ออายุสัญญาเช่า ส่วนข้อ 5 ถึง ข้อ 23 ก็เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับทรัพย์สินที่เช่าในเรื่องการส่งมอบ ความชำรุดบกพร่อง การห้ามโอน การดูแลรักษาและใช้ประโยชน์ทรัพย์สินที่เช่า ความรับผิดในความสูญหายและเสียหายของทรัพย์สินที่เช่า การผิดนัด ผิดสัญญา การสิ้นสุดของสัญญาเช่า และการส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าคืน ซึ่งข้อกำหนดและเงื่อนไขดังกล่าวมานี้ล้วนเป็นสาระสำคัญของสัญญาเช่าทรัพย์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 537 ถึง 571 ทั้งสิ้น ตามข้อกำหนดในสัญญาดังกล่าวไม่มีข้อกำหนดตอนใดที่แสดงว่าคู่สัญญาได้ตกลงซื้อหรือเช่าซื้อทรัพย์สินที่เช่า และให้ถือเอาค่าเช่าที่ชำระเป็นส่วนหนึ่งของราคาทรัพย์สินที่เช่า รวมทั้งไม่ปรากฏว่าคู่สัญญามีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าให้แก่กันมาตั้งแต่เริ่มแรกดังสัญญาเช่าซื้อ สัญญาพิพาทตามเอกสารหมาย จ.6 จึงเป็นสัญญาเช่าทรัพย์แบบหนึ่ง หาใช่เป็นสัญญาเช่าซื้อดังที่จำเลยทั้งสามฎีกาไม่ ดังนั้นผลของสัญญาจึงต้องบังคับตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.6 การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จึงชอบแล้ว
ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า สัญญาพิพาทตามเอกสารหมาย จ.6 มีข้อกำหนดที่เป็นการเอาเปรียบจำเลยที่ 1 โดยไม่มีสิทธิต่อรอง การที่โจทก์มาฟ้องบังคับจำเลยทั้งสามตามสัญญาดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 นั้น เห็นว่า สัญญาเช่าหมาย จ.6 เป็นสัญญาต่างตอบแทนที่คู่สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงกันด้วยความสมัครใจให้ข้อกำหนดของสัญญาบางข้อแตกต่างไปจากบทบัญญัติของกฎหมาย อันเป็นการรักษาสิทธิและประโยชน์ของตนที่ชอบในเชิงธุรกิจ แม้อาจมีข้อที่ได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันบ้างและแตกต่างไปจากบทบัญญัติของกฎหมาย แต่บทบัญญัติดังกล่าวก็มิใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน สัญญาดังกล่าวใช้บังคับได้ คู่สัญญาจึงต้องผูกพันตามข้อสัญญานั้น การที่โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยทั้งสามตามสัญญาจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตดังที่จำเลยทั้งสามฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ