แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยออกเช็คพิพาทมอบแก่บริษัทโจทก์เพื่อชำระหนี้ โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาท เมื่อเช็คถึงกำหนดแม้โจทก์จะนำเข้าบัญชี ส.กรรมการผู้จัดการโจทก์ โดยโจทก์มิได้มอบหรือโอนสิทธิอันเกิดแต่เช็คพิพาทให้แก่ ส. โจทก์ก็ยังคงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทอยู่ในขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน กรณีเพียงการนำเช็คพิพาทเข้าเรียกเก็บเงินโดยอาศัยบัญชีของ ส. เท่านั้น โจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องคดีได้ และไม่ว่าโจทก์จำนะเช็คพิพาทเข้าบัญชีโจทก์เองหรือเข้าบัญชีของ ส. เพื่อเรียกเก็บเงินแทนก็เป็นเพียงรายละเอียดในการนำเช็คเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินเท่านั้น ไม่ใช่ข้อแตกต่างในสาระสำคัญอันจะทำให้การเป็นผู้เสียหายของโจทก์ไม่สมบูรณ์
เดิมจำเลยออกเช็คพิพาทโดยยังไม่ลงวันที่เพื่อค้ำประกัน ในกรณีที่สะสางจำนวนเงินกับลูกค้าให้เรียบร้อยได้แล้วโจทก์จะไม่นำเช็คเข้าบัญชีเรียกเก็บเงิน แต่ต่อมาโจทก์ได้นำเช็คพิพาทไปให้จำเลยลงวันที่ อันเป็นการรับรองว่าจำนวนเงินที่ระบุในเช็คเป็นมูลหนี้จำนวนแน่นอนและเจตนาชำระหนี้นั้นด้วยเช็คพิพาทแล้ว จึงไม่ใช่เช็คค้ำประกัน แม้มีการชำระหนี้ไปแล้วบางส่วนก็ไม่ได้ทำให้เช็คพิพาทที่สมบูรณ์อยู่แล้วไม่สมบูรณ์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) สาขานครปฐม ลงวันที่ 30 สิงหาคม 2541 จำนวน 1,220,000 บาท มอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ที่จำเลยรับจากลูกค้าไว้แทนโจทก์แล้วนำไปใช้ส่วนตัวอันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำเช็คเข้าบัญชีของนางสิริกุลเพื่อเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2541 โดยให้เหตุผลว่าโปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย การกระทำของจำเลยเป็นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คหรือออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่จริงหรือไม่มีเงินอยู่ในบัญชีหรือถอนเงินออกจากบัญชีจนจำนวนเงินที่เหลือไม่เพียงพอที่จะใช้เงินตามเช็คได้ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 จำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยได้ลงลายมือชื่อออกเช็คพิพาทตามเอกสารหมาย จ.2 มอบให้โจทก์ ต่อมาเช็คถึงกำหนดโจทก์นำเข้าบัญชีของนางสิริกุล เพื่อเรียกเก็บเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ให้เหตุผลว่า “โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย” ตามใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.3 และวันที่ลงในเช็คในบัญชีของจำเลยมีจำนวนเงินเหลือไม่เพียงพอที่จะใช้เงินตามเช็คพิพาทได้ ตามบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.4 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์โดยมีมูลหนี้ต่อกับหรือไม่ ทางนำสืบของโจทก์จำเลยได้ความตรงกันว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อกับลูกค้า ลูกค้าต้องชำระเงินค่าเช่าซื้อให้โจทก์ แต่บางครั้งลูกค้านำเงินค่าเช่าซื้อมาฝากไว้ที่ร้านจำเลยและจำเลยนำไปส่งมอบให้โจทก์ และเหตุคดีนี้เกิดขึ้นเพราะพนักงานในร้านของจำเลยทุจริตเก็บเงินจากลูกค้าแล้วไม่นำส่งให้โจทก์ ถือได้ว่าจำเลยได้รับเงินไว้เพื่อส่งมอบให้โจทก์เจ้าของเงินแล้วโดยไม่ต้องได้ความว่าจำเลยเป็นตัวแทนรับเงินให้โจทก์หรือไม่ จำเลยก็มีหนี้หรือมีหน้าที่ต้องส่งมอบเงินที่ไม่ใช่ของตนให้แก่โจทก์ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยออกเช็คพิพาทชำระหนี้เงินค่าเช่าซื้อที่จำเลยรับจากลูกค้าให้แก่โจทก์มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการต่อไปว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องหรือไม่ พิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยออกเช็คพิพาทมอบแก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาท เมื่อเช็คถึงกำหนดแม้โจทก์จะนำเข้าบัญชีนางสิริกุลกรรมการผู้จัดการโจทก์ โดยโจทก์มิได้มอบหรือโอนสิทธิอันเกิดแต่เช็คพิพาทให้แก่นางสิริกุล โจทก์ยังคงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทอยู่ในขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน กรณีเป็นเพียงการนำเช็คพิพาทเข้าเรียกเก็บเงินโดยอาศัยบัญชีของนางสิริกุลเท่านั้น โจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องคดีได้ และไม่ว่าโจทก์จะนำเช็คพิพาทเข้าบัญชีโจทก์เองหรือเข้าบัญชีของนางสิริกุลเพื่อเรียกเก็บเงินแทนก็เป็นเพียงรายละเอียดในการนำเช็คเช้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินเท่านั้นไม่ใช่ข้อแตกต่างในสาระสำคัญอันจะทำให้การเป็นผู้เสียหายของโจทก์ตามคำบรรยายฟ้องไม่สมบูรณ์ดังฎีกาจำเลยแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าเช็คพิพาทมีมูลหนี้จำนวนไม่แน่นอนขัดแย้งกับจำนวนเงินที่ระบุในเช็คพิพาทเป็นจำนวนที่แน่นอนนั้น ได้ความจากจำเลยที่เบิกความว่า เดิมจำเลยออกเช็คพิพาทไปโดยยังไม่ลงวันที่เพื่อค้ำประกัน ในกรณีที่สะสางจำนวนเงินกับลูกค้าให้เรียบร้อยได้แล้วโจทก์จะไม่นำเช็คเข้าบัญชีเรียกเก็บเงิน แต่ต่อมาโจทก์ได้นำเช็คพิพาทไปให้จำเลยลงวันที่โดยจำเลยยืนยันว่าเป็นผู้ลงวันที่ด้วยตนเองอันเป็นการรับรองว่าจำนวนเงินที่ระบุในเช็คเป็นมูลหนี้จำนวนแน่นอนและเจตนาชำระหนี้นั้นด้วยเช็คพิพาทแล้วไม่ใช่เช็คค้ำประกันดังฎีกาจำเลยอีกต่อไป และข้อเท็จจริงจะได้ความว่ามีการชำระหนี้ตามเช็คพิพาทบางส่วนในภายหลังต่อมาหรือไม่ก็ตาม เมื่อเป็นการชำระหนี้บางส่วนยังไม่ครบตามจำนวนในเช็คพิพาทก็เป็นการกระทำเพื่อบรรเทาความเสียหายเท่านั้น ไม่ได้ทำให้เช็คพิพาทที่สมบูรณ์อยู่แล้วไม่สมบูรณ์ดังฎีกาจำเลยประการใด การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้องศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน