คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4805/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่1เป็นผู้แจ้งการนำเรือเข้าต่อกรมศุลกากรและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องและจ้างเรือฉลอมไปขนถ่ายสินค้าจากเรือใหญ่มาส่งที่โกดังของบริษัทผู้ซื้อสินค้าที่กรุงเทพมหานครโดยจำเลยที่1ได้รับบำเหน็จจากการดำเนินการดังกล่าวพฤติการณ์ของจำเลยที่1เห็นได้ว่าจำเลยที่1เป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการขนส่งทอดสุดท้ายเพื่อให้สินค้าถึงมือผู้ซื้อซึ่งถือได้ว่าเป็นการขนส่งหลายทอดตามวิธีการขนส่งทางทะเลโดยจำเลยที่1เป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา609และมาตรา618ซึ่งเป็นกฎหมายใกล้เคียงกับกฎหมายว่าด้วยการรับขนทางทะเลจำเลยที่1จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายของสินค้าให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิมาจากผู้รับตราส่ง เมื่อการขนส่งสินค้าเป็นการขนส่งหลายทอดตามวิธีการขนส่งทางทะเลโดยจำเลยที่1เป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้ายผู้รับขนส่งต้องรับผิดร่วมกันในการที่สินค้านั้นสูญหายหรือบุบสลายแม้ความเสียหายจะเกิดขึ้นก่อนที่จำเลยที่1จะรับขนเป็นทอดสุดท้ายก็ตาม ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยให้โจทก์รับช่วงสิทธิและมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5ต่อปีแล้วแต่ไม่ได้กล่าวไว้ในตอนท้ายของคำพิพากษาส่วนศาลอุทธรณ์ก็เพียงแต่วงเล็บข้อความไว้เมื่อกล่าวถึงคำพิพากษาของศาลชั้นต้นศาลฎีกาสมควรกำหนดให้จำเลยทั้งสามชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5ต่อปีไว้ในคำพิพากษาให้ครบถ้วนด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับประกันภัยการขนส่งสินค้ากระดาษหนังสือพิมพ์ของบริษัทนิมิตสีลม จำกัด โดยมีเงื่อนไขแห่งความรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่สินค้าระหว่างการขนส่งจากเมืองควีเบค ประเทศแคนาดา มายังกรุงเทพมหานครบริษัทไดไอ เปเปอร์ส (ยูเอสเอ) คอร์ปอเรชั่นผู้ขายสินค้าได้ว่าจ้างจำเลยจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ร่วมทำการขนส่งสินค้าดังกล่าวโดยเรือสตาเบอร์ก เมื่อเรือดังกล่าวเดินทางมาถึงเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี จำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างเรือฉลอม 3 ลำขนถ่ายสินค้าจากเรือดังกล่าวต่อไปยังโกดังของผู้ซื้อปรากฏว่าสินค้าได้รับความเสียหายก่อนที่จะบรรทุกลงเรือฉลอม เมื่อสินค้าทั้งหมดไปถึงโกดังของผู้ซื้อมีการสำรวจสินค้าอีกครั้งหนึ่งโจทก์จึงชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ซื้อซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเป็นเงิน 283,675.27 บาท เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2535 จึงรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยมาเรียกร้องเอาแก่จำเลยทั้งสามในฐานะผู้ร่วมทำการขนส่งสินค้าพร้อมดอกเบี้ย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมชดใช้เงิน 288,107.27 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 283,675.27 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ผู้ร่วมทำการขนส่งสินค้าพิพาทกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 จำเลยที่ 1 เป็นเพียงตัวแทนในการติดต่อและแจ้งการมาของเรือสตาเบอร์ก สินค้าพิพาทได้รับความเสียหายตั้งแต่อยู่บนเรือสตาเบอร์กแล้ว จำเลยที่ 1ไม่ต้องรับผิด และสินค้าพิพาทได้รับความเสียหายไม่เกิน54,428 บาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องร่วมรับผิดในความเสียหายของสินค้าพิพาท เมื่อโจทก์ใช้ค่าเสียหายจำนวน283,675.27 บาท แล้ว โจทก์จึงรับช่วงสิทธิมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ได้ชำระค่าเสียหายจนกว่าจะชำระเสร็จ แล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงิน283,675.27 บาท นับแต่วันที่โจทก์ชำระเงินให้ผู้เอาประกันภัย(วันที่ 4 พฤษภาคม 2535) จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยก่อนฟ้องต้องไม่เกิน 4,432 บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ชำระเงิน 283,675.27 บาทแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นเจ้าของเรือสตาเบอร์กประกอบกิจการรับขนส่งสินค้าทางทะเล โจทก์รับประกันภัยการขนส่งสินค้าทางทะเลจากบริษัทนิมิตสีลมจำกัด โดยเรือสตาเบอร์กรับขนส่งสินค้ากระดาษหนังสือพิมพ์ออกจากเมืองควีเบค ประเทศแคนาดาถึงกรุงเทพมหานคร ปรากฏว่าสินค้ากระดาษหนังสือพิมพ์ได้รับความเสียหาย โจทก์ผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัทนิมิตสีลมจำกัด ผู้รับตราส่งแล้วโจทก์จึงรับช่วงสิทธิมาฟ้องเรียกให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมรับขนส่งสินค้าอันเป็นการขนส่งหลายทอดตามวิธีการรับขนทางทะเลโดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้ายหรือไม่ คู่ความนำสืบข้อเท็จจริงรับกันว่า วันที่ 21 กรกฎาคม 2534 เรือสตาเบอร์กมาเทียบท่าเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี จำเลยที่ 1 เป็นผู้แจ้งการนำเรือเข้าต่อกรมศุลกากรและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง และจ้างเรือฉลอมไปขนถ่ายสินค้าจากเรือสตามเบอร์กมาส่งที่โกดังบริษัทนิมิตสีลมจำกัด ที่กรุงเทพมหานคร โดยจำเลยที่ 1 ได้รับค่าบำเหน็จจากการดำเนินการดังกล่าว ดังนั้น พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการขนส่งทอดสุดท้ายเพื่อให้สินค้าพิพาทขนส่งถึงมือผู้ซื้อ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการขนส่งหลายทอดตามวิธีการขนส่งทางทะเล โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 609 และมาตรา 618ซึ่งเป็นกฎหมายใกล้เคียงกับกฎหมายว่าด้วยการรับขนทางทะเล เมื่อปรากฏว่าสินค้าที่ขนส่งบุบสลายหรือสูญหายระหว่างการขนส่งจำเลยที 1 จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายของสินค้าพิพาทให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิมาจากผู้รับตราส่ง ที่จำเลยที่ 1ฎีกาอ้างว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายจึงไม่ต้องร่วมรับผิดนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การขนส่งสินค้าพิพาทเป็นการขนส่งหลายทอดตามวิธีการขนส่งทางทะเล โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้าย เมื่อสินค้าพิพาทบุบสลายหรือสูญหายผู้รับขนส่งต้องรับผิดร่วมกันในการสูญหายหรือบุบสลายนั้นแม้ความเสียหายจะเกิดขึ้นก่อนที่จำเลยที่ 1 จะรับขนเป็นทอดสุดท้ายก็ตาม ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว อนึ่ง ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยให้โจทก์รับช่วงสิทธิ และมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปีแล้ว แต่ไม่ได้กล่าวไว้ในตอนท้ายของคำพิพากษา ส่วนศาลอุทธรณ์ก็เพียงแต่วงเล็บข้อความไว้เมื่อกล่าวถึงคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดให้จำเลยทั้งสามชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ไว้ในคำพิพากษาให้ครบถ้วนด้วย
พิพากษายืน โดยให้จำเลยทั้งสามชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี แก่โจทก์ด้วย

Share