แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
บริษัทจำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์ โดยจำเลยที่ 2ที่ 3 ร่วมกันลงชื่อเป็นผู้ออกตั๋วแล้วประทับตราของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ที่ 3 ยังลงชื่อไว้ในฐานะส่วนตัวภายใต้ข้อความว่าใช้ได้เป็นอาวัล ด้วยเมื่อโจทก์ทวงถามจำเลยที่ 1โดย ท.และส. ผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อแทนได้สั่งจ่ายเช็คและประทับตราของจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ต่อมาธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คและ ท.กับส. ชำระเงินให้โจทก์เพียงบางส่วน หนี้ที่ยังค้างอยู่ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจึงยังไม่ระงับไปเพราะหนี้ที่ชำระด้วยเช็คจะระงับสิ้นไปก็ต่อเมื่อเช็คนั้นได้มีการใช้เงินครบถ้วนแล้ว ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสาม กรณีนี้ไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ เมื่อหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินยังไม่ระงับจำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันด้วยอาวัลจึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย ตั๋วสัญญาใช้เงินระบุไว้แต่เพียงว่า ดอกเบี้ยร้อยละ 14จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า ตามประเพณีการคิดดอกเบี้ยก็ต้องคิดเป็นอัตราร้อยละต่อปี โจทก์นำสืบว่าเป็นอัตราที่กำหนดไว้ต่อปี โดยจำเลยมิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นทั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ยังบัญญัติห้ามคิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี ฉะนั้นที่ตั๋วสัญญาใช้เงินระบุดอกเบี้ยไว้ร้อยละ 14 จึงมีความหมายที่เข้าใจได้ว่าร้อยละ 14 ต่อปีไม่ใช่เป็นการไม่กำหนดอัตราที่จะต้องเสียดอกเบี้ยไว้ให้ชัดแจ้งอันจะต้องใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 ถูกพิทักษ์เด็ดขาดในคดีล้มละลายศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ที่ 3ให้การต่อสู้หลายประการ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าในกรณีที่โจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจากจำเลยที่ 1จำนวน 900,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปีนับแต่วันที่1 ธันวาคม 2519 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จหรือได้รับชำระหนี้ไม่ครบ ก็ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันชำระแทนจนครบ จำเลยที่ 3อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 3 ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่แล้วพิพากษาเหมือนเดิมจำเลยที่ 3 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1ออกตั๋วสัญญาใช้เงินลงวันที่ 3 สิงหาคม 2519 โดยจำเลยที่ 2และที่ 3 ร่วมกันลงชื่อเป็นผู้ออกตั๋วแล้วประทับตราของจำเลยที่ 1จำนวนเงิน 1,000,000 บาท และจำเลยที่ 2 กับที่ 3 ยังลงชื่อไว้ในฐานะส่วนตัวภายใต้ข้อความว่าใช้ได้เป็นอาวัล กำหนดใช้เงินเมื่อทวงถาม พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 14 จ่ายดอกเบี้ยทุกสิ้นเดือนโจทก์ทวงถามจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ผัดผ่อนเรื่อยมาจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2519 จำเลยที่ 1 ออกเช็ค 1 ฉบับ ลงวันที่ 19พฤศจิกายน 2519 จำนวนเงิน 1,000,000 บาท เพื่อชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน โดยนายเทียบทาน ทัพพะรังสี และนางสุนันทาพรพิบูลย์ เป็นผู้สั่งจ่ายประทับตราของจำเลยที่ 1 เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระเงิน โจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงฟ้องนายเทียบทานและนางสุนันทาเป็นคดีอาญาคนทั้งสองชำระเงินให้โจทก์ 100,000 บาท โจทก์จึงถอนฟ้องคนทั้งสองและยังไม่ได้รับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินกับดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 อีกเลย นับแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2519 คงมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่โจทก์ฟ้องระงับไปด้วยการชำระหนี้ตามเช็คที่นายเทียบทานและนางสุนันทาเป็นผู้ออกให้หรือไม่และจำเลยที่ 3 จะต้องชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราเท่าใด
พิเคราะห์แล้ว สำหรับปัญหาว่า การที่โจทก์รับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินด้วยเช็คของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีนายเทียบทานทัพพะรังสี และนางสุนันทา พรพิบูลย์ ลงลายมือชื่อเป็นผู้ออกเช็คจะทำให้หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินระงับไปหรือไม่นั้น เห็นว่าเช็คเอกสารหมาย จ.2 ที่ออกเพื่อชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินของจำเลยที่ 1 ก็เป็นเช็คของจำเลยที่ 1 เอง ส่วนผู้ลงลายมือชื่อออกเช็คก็เป็นผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อออกเช็คได้ตามที่ระบุไว้ในเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งเท่ากับจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระหนี้เองแต่เมื่อเช็คฉบับดังกล่าวเรียกเก็บเงินไม่ได้ และผู้ลงลายมือชื่อออกเช็คชำระเงินให้เพียง 100,000 บาท หนี้ที่ค้างชำระอยู่ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจึงยังไม่ระงับไปเพราะหนี้ที่ชำระด้วยเช็คจะระงับสิ้นไปก็ต่อเมื่อเช็คนั้นได้มีการใช้เงินครบถ้วนแล้วดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสาม ไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ เมื่อหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินยังไม่ระงับจำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันด้วยอาวัลจึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1ด้วย คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 3 อ้างมา ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
ส่วนปัญหาว่าจำเลยที่ 3 จะต้องชำระดอกเบี้ยในอัตราเท่าใดนั้นเห็นว่า การที่ตั๋วสัญญาใช้เงินระบุไว้แต่เพียงว่า ดอกเบี้ยร้อยละ 14 จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือนย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า ตามประเพณีการคิดดอกเบี้ยก็ต้องคิดเป็นอัตราร้อยละต่อปี โจทก์ก็นำสืบว่าเป็นอัตราที่กำหนดไว้ต่อปีโดยจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น ทั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654ยังบัญญัติไว้ว่าท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปีฉะนั้น ที่ตั๋วสัญญาใช้เงินระบุดอกเบี้ยไว้ร้อยละ 14 จึงมีความหมายเป็นที่เข้าใจได้ว่าร้อยละ 14 ต่อปี ซึ่งไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ไม่ใช่เป็นการไม่กำหนดอัตราที่จะต้องเสียดอกเบี้ยไว้ให้ชัดแจ้ง อันจะต้องใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ดังที่จำเลยที่ 3ฎีกา ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน