แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยเป็นสมาชิกชมรมสิบล้อพิษณุโลกซึ่งโจทก์กับพวกอีก5คนร่วมกันประกอบกิจการจำเลยรับขนสินค้าในนามและคำสั่งของชมรมฯระหว่างทางถูกคนร้ายลักสินค้าไปซึ่งจำเลยต้องรับผิดตามที่ตกลงไว้กับชมรมฯโจทก์กับพวกยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ส่งชอบที่จะได้รับช่วงสิทธิมาไล่เบี้ยเอากับจำเลยเมื่อพวกของโจทก์มีอำนาจฟ้องแล้วก็ย่อมมอบอำนาจนั้นให้โจทก์ฟ้องแทนได้ ฎีกาของจำเลยยกเหตุแห่งความเคลือบคลุมของคำฟ้องมาอ้างนอกเหนือไปจากที่ต่อสู้ไว้ในคำให้การศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยแต่ฎีกาของจำเลยที่ยกเหตุแห่งอำนาจฟ้องของโจทก์มาอ้างนอกเหนือไปจากที่ต่อสู้ไว้ในคำให้การเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาวินิจฉัยได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับพวกอีก 5 คน ประกอบกิจการรับขนสินค้าชื่อชมรมสิบล้อพิษณุโลก จำเลยเป็นสมาชิกชมรม รับขนสินค้าในนามและคำสั่งของโจทก์ ระหว่างทางสินค้าบางส่วนถูกคนร้ายลักไปคิดเป็นเงิน193,640 บาท ผู้ส่วฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์และจำเลย โจทก์ตกลงชำระหนี้ให้ผู้ส่งเป็นเงิน 140,000 บาท พวกของโจทก์มอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องคดีนี้แทน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า คำฟ้องเคลือบคลุมเพราะไม่บรรยายฟ้องว่าบุคคลทั้งห้าตามฟ้องเป็นโจทก์ด้วยและแต่ละบุคคลเสียหายเท่าใด จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ โจทก์ตกลงใช้หนี้ผู้ส่งทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้อง ค่าเสียหายหากมีก็ไม่เกิน 1,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยชำระเงิน 140,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาทแทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์1,000 บาทแทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีประเด็นต้องวินิจฉัยตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดและจำเลยฎีกาไว้ คือ
1. ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่
2. อำนาจฟ้อง
3. จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใดหรือไม่
4. ค่าเสียหายของโจทก์มีเพียงใด
ตามประเด็นข้อ 1 จำเลยให้การต่อสู้ไว้ในข้อ 1 เกี่ยวกับการบรรยายฐานะของโจทก์และในข้อ 3 เกี่ยวกับค่าเสียหายของโจทก์แต่ละคนแต่จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อเท็จจริงข้อ 5 ว่า โจทก์ไม่มีหลักฐานและรายละเอียดเกี่ยวกับการเป็นชมรม และฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายข้อ 6 ว่า โจทก์ไม่บรรยายฐานะของชมรม และไม่ปรากฎหลักฐานหรือมติของชมรมที่ให้มาดำเนินคดีดังนี้ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นเรื่องยกเหตุแห่งความเคลือบคลุมของคำฟ้องมาอ้างนอกเหนือไปจากที่ต่อสู้ไว้ในคำให้การ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ตามประเด็นข้อ 2 เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะฎีกาในเหตุที่นอกเหนือไปจากที่ต่อสู้ไว้ในคำให้การ ศาลฎีกาก็วินิจฉัยถึงได้ จากคำฟ้องโจทก์บรรยายว่านายตงลิ่ง แซ่เฮ้ง นายประเสริฐ นัดราโรจน์ นายยิ้ม สุทธิ์รัตน์นายสวัสดิ์ สมบุญมี นายประสิทธิ รักษาสัตย์ ผู้ร่วมกับพวกก่อตั้งชมรมสิบล้อพิษณุโลก ถูกบริษัทพิษณุโลกขนส่ง จำกัด ฟ้องให้ร่วมรับผิดทางแพ่งกับจำเลย กรณีจำเลยทำสินค้าที่บริษัทดังกล่าวจ้างชมรมสิบล้อพิษณุโลกขนส่งและทางชมรมให้จำเลยซึ่งเป็นสมาชิกดำเนินการหายไปแล้วบุคคลทั้งห้ายอมใช้ค่าเสียหายแก่บริษัทพิษณุโลกขนส่ง จำกัดดังนี้ย่อมมีความหมายว่าบุคคลทั้งห้าในนามของชมรมที่จะดำเนินการไล่เบี้ยเอากับจำเลยซึ่งเป็นสมาชิกต่อไป จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยไม่จำต้องมีมติโดยเสียงข้างมากของสมาชิกชมรมสิบล้าพิษณุโลกดังที่จำเลยฎีกาขึ้นมา เมื่อบุคคลทั้งห้ามีอำนาจฟ้องแล้วก็ย่อมมอบอำนาจให้นายวิเชียร เลิศตระกูล ฟ้องแทนได้ นายวิเชียรจึงเป็นโจทก์ในนามของบุคคลทั้งห้าซึ่งทำการในนามของชมรมสิบล้อพิษณุโลกอีกชั้นหนึ่งแต่เป็นความบกพร่องของโจทก์ที่ไม่ระบุให้ชัดว่าบุคคลทั้งห้าเป็นโจทก์ในช่องชื่อโจทก์ตอนต้น จึงอาจทำให้จำเลยเข้าใจไขว้เขวไปบ้างไม่ทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์เสียไปแต่อย่างใด
ตามประเด็นข้อ 3 โจทก์มีนายวิเชียร เลิศตระกูล กับนายสวัสดิ์ ลมบุญมี กรรมการบริหารของชมรมสิบล้อพิษณุโลก มายืนยันต้องกันว่าจำเลยเป็นสมาชิกของชมรมดังกล่าวและปฎิบัติตามระเบียบตลอดมา เช่น ชำระเงินรายเดือน เดือนละ 200 บาท และเงินประกันค่าเสียหาย 9,000 บาท ไว้กับสมาคมและรับขนสินค้าตามที่ทางชมรมจัดให้ซึ่งระเบียบกำหนดให้สมาชิกผู้ขนส่งต้องรับผิดชอใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากสินค้าถูกลักจี้ปล้นไประหว่างขนส่งเอง ส่วนทางชมรมจะช่วยชดใช้ค่าเสียหายให้กรณีสินค้าเสียหายเพราะอุบัติเหตุ จำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งให้เป็นอย่างอื่น จึงฟังได้ว่ามีระเบียบถือปฎิบัติระหว่างจำเลยกับชมรมเช่นนั้นจริง จำเลยจึงต้องผูกพันอยู่กับชมรมตามนั้น เมื่อจำเลยรับขนสินค้าจากบริษัทพิษณุโลกขนส่ง จำกัดตามที่ทางชมรมจัดให้แล้วสินค้าถูกโจรกรรมไปตามที่โจทก์จำเลยนำสืบรักกันมา จำเลยจึงต้องรับผิดในความเสียหายนั้น เมื่อโจทก์นี้ซึ่งเป็นกรรมการบริหารเอาเงินค่าประกันความเสียหายของชมรมชดใช้แก่ผู้เสียหายไปแทน แม้จำเลยจะมิได้รู้เห็นด้วยและคัดค้านการขอถอนฟ้องของโจทก์ปรากฏตามคดีแพ่งของศาลชั้นต้นหมายเลขแดงที่26/2525 ก็ตามแต่ แต่จำเลยก็แถลงไม่สืพพยานในคดีดังกล่าว ฟังไม่ได้ว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบในหนี้นั้น โจทก์จึงขอบที่จะได้รับช่วงสิทธิมาไล่เบี้ยเอากับจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 229(3) หาใช่เป็นการโอนหนี้ตามมาตรา 306 ดังจำเลยอ้างไว้จำเลยจึงต้องรับผิดในหนี้นั้นต้อโจทก์
ตามประเด็นข้อ 4 ปรากฎตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 952/2524ของศาลแขวงพิษณุโลก และคดีแพ่งของศาลชั้นต้นหมายเลขแดงที่ 26/2525ซึ่งคู่ความอ้างเป็นพยานว่าสินค้าที่จำเลยรับขนถูกคนร้ายลักไปเป็นเงิน 193,690 บาท มีรายละเอียดทุกรายการแสดงไว้ตรงกัน จำเลยเบิกความไว้ในคดีอาญาที่อ้างข้างต้นว่าจำเลยเคยไปขอใช้ค่าเสียหายให้บริษัทพิษณุโลกขนส่งจำกัด ผู้ว่าจ้างให้ขนครึ่งหนึ่ง แต่บริษัทดังกล่าวไม่ยินยอมในการต่อสู้คดีแพ่งที่อ้างข้างต้น จำเลยก็ไม่ติดใจนำสืบโต้แย้งว่าสินค้าที่ถูกลักไปมีราคาไม่เท่าที่ฟ้องจึงฟังได้ว่าสินค้าที่บริษัทพิษณุโลกขนส่ง จำกัด จ้างขนถูกลักไปเป็นราคา193,690 บาทซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดตามระเบียบของชมรม แต่กรรมการบริหารของชมรมคือโจทก์ซึ่งเป็นผู้มีความผูกพันร่วมกับจำเลยได้เจรจาต่อรองลงมาจนเหลือ 140,000 บาท ซึ่งน้อยลงแล้วยอมชดใช้แทนไปตามเอกสารหมาย จ.3 จึงเป็นผลดีกับจำเลยทั้งด้านส่วนตัวและชื่อเสียงของชมรมที่จำเลยเป็นสมาชิกใช้ประกอบอาชีพต่อไปในวันหน้าด้วยซึ่งโจทก์ก็เเรียกร้องเอากับจำเลยเพียงเท่าที่ต่อรองมาได้เท่านั้นค่าเสียหายตามฟ้องจึงเหมาะสมและเป็นธรรมแล้ว
ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยรับผิดต้องกันมานั้นชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,000 บาทแทนโจทก์”.