คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4803/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์วางผังสร้างตึกแถวโดยให้ที่ดินพิพาทเป็นถนนเชื่อมต่อกับทางสาธารณะเป็นทางเข้าออกตึกแถวรายนี้ ย่อมเป็นการแสดงออกโดยปริยายว่าจะจัดให้ถนนเป็นสาธารณูปโภคแก่ตึกแถว โจทก์จึงมีภาระผูกพันโดยถือว่าที่ดินพิพาทตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินและตึกแถวรายนี้แล้ว ที่ดินพิพาทจึงเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินและตึกแถวของจำเลย โจทก์ในฐานะเจ้าของภารยทรัพย์จะประกอบกรรมใด ๆ อันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกหาได้ไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1390 และจำเลยในฐานะเจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิทำการเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์หรือในสามยทรัพย์ซึ่งทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์เช่นเดียวกันตามมาตรา 1388 จำเลยไม่มีสิทธิต่อเติมกันสาดและวางแผงหนังสือรุกล้ำเข้าไปในที่ดิน เพราะเป็นการทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ โจทก์ไม่อาจนำที่ดินพิพาทไปตั้งแผงลอยหรือนำออกให้เช่าได้อีก เพราะเป็นการกระทำอันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก โจทก์จึงเรียกค่าเสียหายไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 10222 ตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ 1 งาน 70 ตารางวา จำเลยเป็นเจ้าของตึกแถวเลขที่ 240 ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินโจทก์ จำเลยติดตั้งกันสาดออกจากตึกแถวเลขที่ 240 และวางแผงหนังสือรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์โจทก์แจ้งให้จำเลยรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยออกไปจากที่ดินโจทก์แล้วแต่จำเลยเพิกเฉยโจทก์ได้รับความเสียหายโดยขาดประโยชน์ หากนำออกให้เช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ 2,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนกันสาดและแผงหนังสือออกไปจากที่ดินโจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนกันสาดและแผงหนังสือออกไปจากที่ดินโจทก์เสร็จ

จำเลยให้การว่า เดิมโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 10222 ต่อมาโจทก์จัดสรรแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกเป็นแปลงย่อย แล้วปลูกสร้างตึกแถวลงบนที่ดินแปลงย่อยขายให้ประชาชนทั่วไป ปัจจุบันที่ดินโฉนดเลขที่ 10222 ของโจทก์คงเหลือเนื้อที่เพียง 1 งาน คั่นอยู่ระหว่างที่ดินที่แบ่งแยกทางทิศใต้กับถนนสาธารณะ เมื่อประมาณ5 ถึง 6 ปีมานี้ จำเลยซื้อตึกแถวเลขที่ 240 จากโจทก์ โดยโจทก์ยอมให้จำเลยใช้ประโยชน์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 10222 ของโจทก์ซึ่งอยู่ตรงหน้าที่ดินจำเลยตลอดจนยอมให้ที่ดินดังกล่าวทางตอนใต้ทั้งหมดเป็นทางหรือถนนสาธารณะเพื่อประโยชน์แก่บรรดาผู้ซื้อตึกแถวของโจทก์ จำเลยติดตั้งกันสาดมาหลายปีโจทก์ไม่เคยคัดค้าน ส่วนแผงวางหนังสือของจำเลยเป็นแผงเล็ก ๆ สามารถเข็นเคลื่อนย้ายได้ โจทก์ไม่เสียหาย หากโจทก์เสียหายก็ไม่เกินเดือนละ 100 บาท ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยรื้อถอนกันสาดและแผงหนังสือออกไปจากที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 10222 ตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนกันสาดและแผงหนังสือออกไปจากที่ดินดังกล่าวเสร็จ

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงรับกันฟังเป็นยุติว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 10222 เป็นที่ดินแปลงใหญ่ ต่อมาโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ได้แบ่งแยกที่ดินเป็นแปลงย่อยแล้วปลูกสร้างตึกแถวขายแต่เหลือที่ดินเป็นรูปสามเหลี่ยมเนื้อที่ 29 ตารางวา ตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งโจทก์ได้รับอนุญาตจากกรมทางหลวงให้ทำเป็นทางเชื่อมกับถนนสาธารณะเพื่อใช้เป็นทางเข้าออกของตึกแถวดังกล่าวตามเอกสารหมาย ล.7 จำเลยเป็นผู้ซื้อที่ดินและตึกแถว 1 ห้องจากโจทก์ ภายหลังจำเลยได้ต่อเติมกันสาดอะลูมิเนียมแบบติดแขวนไม่มีเสาจากกันสาดคอนกรีตเดิมและวางแผงขายหนังสือชนิดมีล้อเลื่อนรุกล้ำเข้าไปในทางตรงด้านหน้าตึกแถวของจำเลย

คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเป็นประการแรกว่า ทางหรือถนนบนที่ดินโฉนดเลขที่ 10222 เป็นทางสาธารณะแล้วหรือไม่ จำเลยมีตัวจำเลยนายถกล สุนทรวิบูลย์ นายเมี่ยงฮุยหรือเลี่ยงฮุย กนกอุดม และนายล้อ แซ่อาว เป็นพยานเบิกความว่า โจทก์บอกกับพยานดังกล่าวแล้วว่า โจทก์จะยกที่ดินพิพาทให้เป็นทางสาธารณะ โจทก์จะไม่ปิดกั้นและตกลงให้ผู้ซื้อตึกแถวใช้เป็นทางเข้าออก แต่พยานจำเลยเหล่านี้ไม่มีผู้ใดทราบว่า โจทก์ยกที่ดินพิพาทให้เป็นทางสาธารณะแล้วหรือไม่ดังนี้ แม้จะรับฟังว่าขณะเมื่อซื้อที่ดินพร้อมตึกแถวโจทก์บอกว่าจะให้ที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณะก็เป็นแต่เพียงคำมั่นว่าจะให้เท่านั้น กรณีถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้อุทิศโดยตรงหรือโดยปริยายให้ที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณะ ที่ดินพิพาทยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ดังที่ปรากฏตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.4 แต่อย่างไรก็ตามการที่โจทก์วางผังสร้างตึกแถวโดยให้ที่ดินพิพาทเป็นถนนเชื่อมต่อกับทางสาธารณะเป็นทางเข้าออกตึกแถวรายนี้ย่อมเป็นการแสดงออกโดยปริยายว่าจะจัดให้ถนนเป็นสาธารณูปโภคแก่ตึกแถว โจทก์จึงมีภาระผูกพันโดยถือว่าที่ดินพิพาทตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินและตึกแถวรายนี้แล้ว เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้ซื้อที่ดินและตึกแถวโดยไม่มีทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ ที่ดินพิพาทจึงเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินและตึกแถวของจำเลยซึ่งโจทก์ในฐานะเจ้าของภารยทรัพย์จะประกอบกรรมใด ๆ อันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกหาได้ไม่ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1390 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และจำเลยในฐานะเจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิทำการเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์หรือในสามยทรัพย์ซึ่งทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์เช่นเดียวกันตามบทบัญญัติมาตรา 1388 เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยต่อเติมกันสาดและวางแผงหนังสือรุกล้ำเข้าไปในที่ดินพิพาทซึ่งตกเป็นภารจำยอมเฉพาะใช้เป็นทางเข้าออกเท่านั้น จำเลยย่อมไม่มีสิทธิกระทำได้ตามกฎหมายดังกล่าวแล้ว เพราะเป็นการทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้จำเลยรื้อถอนกันสาดและขนย้ายแผงหนังสือออกไปจากที่ดินพิพาท ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ประเด็นข้อต่อไปมีว่าโจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าที่ดินพิพาทตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินและตึกแถวของจำเลย การที่จำเลยต่อเติมกันสาดและวางแผงหนังสือบริเวณหน้าตึกแถวของจำเลย ย่อมเห็นได้ชัดแจ้งว่า โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย เพราะโจทก์คงมีแต่กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทซึ่งตกเป็นทางภารจำยอม โจทก์จึงต้องรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตนและต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้น เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์ของจำเลย กล่าวคือ โจทก์ไม่อาจนำที่ดินพิพาทซึ่งตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินและตึกแถวของจำเลยใช้เป็นทางเข้าออกไปตั้งแผงลอยหรือนำออกให้เช่าได้อีกเพราะเป็นการกระทำอันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกโจทก์จึงเรียกค่าเสียหายไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอในส่วนค่าเสียหาย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share